ทวีปที่สาบสูญ : จะอีกสักกี่วัน ที่ชีวิตของฉันต้องดำเนินไป

บางครั้ง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ชีวิตที่ผ่านมาเพื่ออะไร และจากนี้อีก ฉันจะไปไหน

เหมือนมีแม่น้ำสองสายไหลอยู่ภายในตัวเอง หรือมีอีกสองตัวตนที่วนว่ายภายใน

หนึ่งขาว…หรือไม่ก็อยากจะเป็นเหมือนดอกไม้สีขาว แสงแดดสีขาว อยากจะมีชีวิตสวยๆ เหมือนเช้าไหนสักวัน ที่ตื่นมาแล้วพบว่ายังมีดอกไม้บานสะพรั่ง

แต่อีกหนึ่ง…เหมือนตัวอะไรสักอย่าง ทึบๆ ดำๆ มืดคล้ำ ปราศจากปากจมูกใบหน้า ปราศจากดวงตา มันเพียงสะกดรอยติดตามฉัน เกาะถ่วงฉัน และเฝ้าจะชักชวนฉัน

ไปเถอะ ไปให้พ้น

ไปกันเสียที

ไปให้ได้

และเมื่อยังไปไม่ได้ มึงก็ต้องอยู่อย่างนี้

คิดหรือว่าจะได้อยู่อย่างคนดีๆ

คนอย่างมึง อีพี่

คนอย่างมึง…

 

[“เขียนกลอนอีกละสิ อีพี่…คนอย่างมึงจะมีอะไร้ ของควรทำไม่ทำ เอาแต่ทำเรื่องไร้สาระ…กูบอกให้เอาทองไปจำนำ ยังจะนั่งเขี่ยอะไรอยู่…อย่างนี้แหละ มึงถึงไม่เจริญก้าวหน้า!”

“มึงอย่ามาทำจองหองนักเลยอีพี่! ถึงที่สุด มึงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากูเลยสักนิด! ทำเป็นว่าเป็นคนหล็วก คนฉลาด! แล้วยังไง มึงก็ไปโดนไอ้แก่นั่นหลอกสำเอาละไม่ว่า”

“ไม่ใช่!”

“ไม่ใช่ยังไง…อ๋อ ไม่ได้โดนหลอก ต่มึงแฮ่นเอากับมันเอง…กูละอยากจะเหิดฟ้อนแวดวิหารแท้ๆ…เป็นไง ลูกรักลูกเทวดาของอีพ่ออีแม่ สุดท้ายก็กลายเป็นกะหรี่!”

“พี่โฟ…ถ้าพี่มีปัญหากับฉันนัก…จะไปอยู่ที่อื่นเอง”

“ดูมึง! อีพี่! พอกูจี้ใจดำ ก็จะมาทำสลิด คิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว…กูไม่ให้มึงไปไหนทั้งนั้น ถ้ากูตกนรก มึงก็ต้องตกกับกูด้วย! จะลอยไปอยู่สวรรค์วิมานของมึงคนเดียว ฝันไปเถอะ!”

“โว้ย! แล้วจะเอายังไงกับกู!!”

“เหอะ…”มึงก็กลับไปคิดสิ จะทำตัวดีๆ กับกูได้ยังไงบ้าง กูเคยให้อะไรกับมึงมาตั้งเท่าไหร่ ชั้นแต่หนนี้…กูก็เสียใจ เพราะหวังจะอยากให้มึงอยู่ม่วนกินหวาน แต่คนอย่างมึงก็สันดานเห็นแก่ตัว…”

“พอเถอะ! กูไม่อยากเถียงกับมึงแล้ว กูอิด เก็บแก้วแตกจนบาดมืออยู่นี่ ก็เพราะมึง!”]

 

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่อาจเข้าใจ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก อะไรสักอย่างที่แปลกเกินไป

ฉันรู้แล้วว่า ในโลกเส็งเคร็งใบนี้ มีคนเลวมากกว่าคนดี หากก็นั่นแหละ ฉันเลิกสนใจแล้วว่าธาตุแท้ของแต่ละคนจะเป็นแบบไหน ถึงเวลาคงจะสำรอกกันออกมาเอง

แม้แต่ตัวฉัน…

หาก…คนอย่างพี่โฟนั้นสิ คนที่อวดเก่งอวดฉลาด แต่ก็พลาดเสียยับเยินขนาดนั้น

เป็นคนที่วุ่นวายกับฉัน

เป็นมือเคยชักลากฉัน

เคยช่วยโอบอุ้มฉัน

แต่แล้วก็ทรยศหักหลังฉัน

เหมือนมันไม่เคยมีจุดที่สิ้นสุดลงเอยสำหรับเราทั้งคู่

เหมือนเราทรงตัวอยู่บนวงล้ออะไรสักอย่าง

และระหว่างนั้น ก็จับมือกัน ถีบกัน เสือกไสกันอยู่ด้วยตลอดเวลา

เหมือนในวันนี้ ที่แล้วอีพี่ชาติหมาก็ชิงทิ้งฉันไปอีกหนหนึ่ง

ทั้งๆ ที่ ก็เคยตะโกนใส่ฉันแบบนั้น

[“อีพี่!! มึงทำแบบนี้ทำไม!!”]

ทั้งๆ ที่ก็เคยพูดแบบนั้น

[“มึงต้องหาย อีพี่!…ช่วยน้องฉันด้วยนะหมอ ช่วยมันด้วย อย่าให้มันตายเชียวนะ!”

“เขาพ้นขีดอันตรายแล้วละ”

“จริงหรือหมอ! จริงหรือ!”

“ครับ แต่คนไข้เสียเลือดมาก มีไข้ด้วย ให้พักผ่อนก่อนจะดีกว่า”

“อีพี่!…มึงไม่เป็นอะไรแล้ว! อีวอก! อีชาติหมา! มึงทำให้กูตกอกตกใจขนาดนี้ รีบๆ ลุกมานะ! มึงอย่าคิดจะหนีกูไปไหนเชียว! อีฮ่าปัก!”]

ชีวิตเป็นเพียงแค่การเดินในวงกลมหรืออย่างไร

วงแคบๆ ที่ไม่เคยมีทางออก

 

ยังมีใบไผ่แห้งปลิวเกลื่อนพื้นลานข่วง เมื่อฉันเดินลงจากบ้านมาในอีกวัน

พ่อนั่งใกล้ฝั่งคลอง กำลังทำอะไรสักอย่าง ปากหนาขยับเป็นจังหวะเบาๆ ไม่ช้าก็รู้ว่าพ่อกำลังล้อเลียนฉันนั่นเอง

“ต้องทำแบบนี้”

พ่อทำเสียงเหมือนไก่

อดวูบสะดุดไม่ได้ พ่อคงได้ยินเสียงฉันผิวปาก…ก็แค่อยากลองขับเพลง

บางที บางเพลง อาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นบ้างก็ได้

แต่ก็ช่างเถอะ คนไม่เอาไหน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี

“พ่อทำอะไรน่ะ?”

“ทำตุ๊กตา”

ว่าจะไม่สนใจ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ในสิ่งที่เห็น

พ่อกำลังสานตอกไม้ไผ่เป็นรูปอะไรอย่างหนึ่ง คล้ายตะข้องกลมๆ แต่ก็มีเค้าจะเป็นแขนเป็นขา

“ตุ๊กตาอะไร…คะ”

“ตุ๊กตาสมปรารถนา”

มองที่มือใหญ่ ตวัดเส้นไม้ไผ่ในมืออย่างคล่องแคล่ว

“มาแนวผีๆ อีกแล้วสิ” ไม่รู้จะพูดอย่างไร จึงออกปากไปอย่างนั้น

“มันเป็นกุศโลบาย” พ่อยิ้มจางๆ ในหน้า และให้ตายเถอะ ฉันไม่ชอบสีหน้าของพ่ออย่างนั้น

“บางทีคนเราก็ใช่จะได้ทุกอย่าง บางอย่างก็เกินกำลังจะไขว่คว้า หาไม่ได้ก็ต้องลักเอา”

ตุ๊กตาในมือพ่อ ดูจะเริ่มมีแขนมีไหล่

“นี่เขาเรียกตุ๊กตาสมปรารถนา”

พ่อยังยิ้มอยู่อีก

“เอาไว้ขอในเรื่องที่เรารู้แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้”

“แล้วจะขอไปทำไม?”

“เผื่อสบโชคไงลูก…ถือว่าเป็นกำลังใจ เป็นของหนุนจิตใจ”

“พ่อทำให้ใครหรือ ยายร่อยอีกละสิ”

“เปล่า ของแม่”

ฉันจ้องหน้าพ่อ หากพ่อไม่มองหน้าฉัน สายตาจับจ้องอยู่เพียงตุ๊กตา จนได้ยินเสียงบันไดลั่นเอียด และเป็นแม่ที่เดินลงมา

“ยังไม่ไปทำงานอีกหรือพี่”

เหมือนเสียงแม่จะแฝงความขุ่นมัว จนต้องรีบตอบไป

“…ยังค่ะแม่ กำลังดูพ่อทำตุ๊กตา”

“ไม่ต้องดูก็ได้! ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ”

มองหน้าพ่อ แล้วก็มองหน้าแม่ มีบางสิ่งต่างไปจากทุกวัน พ่อยังทำงานของตัวเองต่อไป ทว่าแม่ดูเหมือนเต็มไปด้วยเมฆหมอกในใจ

แต่ก็นั่นเอง ทุกๆ คนคงจะมีท้องฟ้าของตัวเอง

เหมือนที่ตัวฉันเอง ก็มีฟ้าเน่าๆ เวิ้งนั้น

 

แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรกันอีก เด็กนักเรียนกระโปรงดำก็จอดจักรยานที่หน้าบ้าน

“…พี่คะ”

“อ้าว หนูปิม”

ฉันผละตัวจากพ่อแม่ เดินตรงเข้าไปหา พอใกล้ ก็ได้กลิ่นหอมของแป้งกระป๋องรวยรินมาจางๆ

มองปากคิ้วคาง ที่รู้กันเพียงสองคนว่า ต่างคุ้นเคยเพียงใด

“ปิมไปเรียนก่อนนะคะ”

“อือ”

“แล้วพี่ยังไม่ไปทำงานหรือคะ สายแล้วนะ เดี๋ยวเข้างานไม่ทันหรอก”

ปิมปารู้แล้วว่าฉันกำลังมีชีวิตแบบไหน

“วันนี้แม่เป็นอะไรไม่รู้ละ” ฉันพูดเรื่องอื่นกับเด็กหญิงไป “ดูอารมณ์เสียแต่เช้า…หนูปิมไปโรงเรียนเถอะ ขี่รถดีๆ ละ อย่าให้ล้ม แข้งขาเป็นรอยจะไม่สวย”

“พี่นี่”

ปากสีชมพูคลี่ออก และนั่น ฉันก็รู้ถึงอารมณ์ที่เจืออวลข้างใน

“ปิมไม่ใช่คนซุ่มซ่ามนะ”

“ไม่รู้ละ…” ฉันลดเสียงเบา

ยิ้ม…พยายามจะยิ้ม

“ก็…ห่วงนะ”

เด็กหญิงช้อนตาขึ้นสบทันที แล้วทำราวมีแดดดุนแก้ม สีแดงระเรื่อชัดขึ้น

ฉันโน้มตัวเข้ากระซิบข้างหู

“รีบๆ ไปเถอะ ไม่งั้นพี่จะพาเข้าห้องนะ เดี๋ยวจะไม่ได้ไปเรียนหนังสือ”

น้องสาวของรอยหายใจแรงขึ้นทันที

“พี่!”

เสียงแทบไม่พ้นลำคอ

ฉันอดพึงพอใจไม่ได้ กระซิบอีกหน

“ถึงยายจะอยู่บ้าน แต่เดี๋ยวพี่จะหาวิธีเอาปิมมานอนด้วยนะ”

“พี่!” เสียงแม่ตะโกนแทรกเข้ามา

มีความแปลกมากขึ้นในเสียงเรียกนั้น จนฉันต้องรีบขานรับ

“ได้ยินแล้ว!”

และหันไปบอกกับเด็กหญิง ด้วยคำเท็จสามัญ

“…คิดถึงนะ”

 

ร่างขาวผุดผ่องเคลื่อนที่ออกไปจากสายตา แลเห็นแผ่นหลังกับต้นขาขยับไหวๆ ไปกับวงล้อจักรยาน

ฉันเดินออกจากประตูบ้าน มีหมวกกับผ้าขาวม้าคล้องคอ

ทิ้งแววตาของแม่ไว้เบื้องหลัง

อีกวัน และอีกวัน และจะอีกสักกี่วัน ที่ชีวิตของฉันต้องดำเนินไปในหมู่บ้านแห่งนี้ โดยที่ยิ่งนับวันไปก็แทบไม่มีอะไรดีขึ้นเลย