เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ /ฟุตบอลโลก 2018

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์

 

ฟุตบอลโลก 2018

 

ปิดฉากลงไปแล้วอย่างเรียบร้อยสำหรับการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพ
ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย
1 เดือนเต็มที่มหกรรมนี้ทำเอาชาวโลกร่วมครึ่งค่อนต้องอดตาหลับขับตานอน เพื่อลุ้นเชียร์ทีมรักและไม่รักทั้งหลาย จนกระทั่งได้ผลสรุปไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ขอแสดงความยินดีกับทีมชาติฝรั่งเศส ที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้เป็นสมัยที่ 2 หลังจากเคยทำได้ครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน นักเตะบางคนของฝรั่งเศสในฟุตบอลโลกครั้งนี้ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
และแม้จะผิดหวังได้แค่รองแชมป์ ด้วยสกอร์ที่ไม่สวยนัก 4-2 ประตู ก็พูดได้ว่าทีมชาติโครเอเชียทำได้มากกว่าที่หลายคนคาด
การได้เข้าชิงหนนี้เป็นครั้งแรก ก็เป็นการจารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับชาวโครแอตได้ภาคภูมิใจ

อย่างไรก็ดี แม้บางทีมจะสมหวัง หลายทีมจะผิดหวัง บางทีมก็ได้มาไกลกว่าที่คิด บางทีมก็สามารถสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับการแข่งขัน แต่นี่คือเสน่ห์ของฟุตบอลโลกในครั้งนี้จริงๆ
เค้าลางแห่งความดราม่าทั้งหลายเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนการแข่งขัน เมื่อทีมขาประจำของฟุตบอลโลกอย่างฮอลแลนด์และอิตาลีต้องตกรอบคัดเลือก อดร่วมดวลแข้งในรอบสุดท้ายอย่างไม่น่าเชื่อ
จากนั้นเรื่องราวดราม่าสารพันก็บรรเลงขึ้นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
ที่เห็นชัดๆ อย่างหนึ่งคือ ต่อไปนี้ไม่มี “ทีมใหญ่” และ “ทีมเล็ก” อีกต่อไปแล้ว เพราะทีมที่เคยถูกมองว่าเป็นทีมไม้ประดับ ได้ยกระดับฝีมือขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจไม่น้อย
ที่เห็นชัดชัดคือทีมชาติโครเอเชีย ที่มีประชากรแค่ 4 ล้านคน ได้เข้ามาชิงแชมป์กับทีมขาใหญ่อย่างทีมชาติฝรั่งเศส ได้เป็นครั้งแรก

หรืออย่างทีมจากทวีปเอเชียที่สามารถต่อกรกับทีมใหญ่หลายทีมได้อย่างสนุก
โดยเฉพาะแมตช์ที่ฮือฮาและคงได้รับการพูดขานกันไปอีกนานคือแมตช์ระหว่าง “เกาหลีใต้” กับแชมป์เก่า “เยอรมนี” ที่หากเยอรมนีชนะ ก็มีสิทธิ์เข้ารอบต่อไปได้ แต่ใครจะเชื่อว่ากลับเป็นเกาหลีใต้ที่ยันเสมอ 0-0 ได้ใน 90 นาที และมายิง 2 ประตูในช่วงต่อเวลา เขี่ยให้เยอรมนีตกรอบแรกไปอย่างหักปากกาเซียน
ตอนที่นกหวีดกรรมการเป่าหมดเวลา นักเตะและแฟนฟุตบอลเกาหลีใต้ดีใจกันสุดๆ ราวกับได้แชมป์ฟุตบอลโลกก็ไม่ปาน
สำหรับ “ทีมชาติญี่ปุ่น” ก็สร้างความภาคภูมิใจให้กับเพื่อนร่วมทวีปเอเชีย ด้วยการเป็น 1 เดียวที่ได้เข้าไปในรอบ 16 ทีมได้สำเร็จ ด้วยผลงานการเล่นที่ยอดเยี่ยม มีระเบียบวินัยทั้งรับและรุกอย่างน่าประทับใจอีกด้วย
แม้สุดท้ายจะมาพ่ายให้กับทีมชาติเบลเยียมอย่างน่าเจ็บใจ เพราะยิงนำไปก่อนถึง 2-0 ก่อนที่ผลจะออกมาเป็นเบลเยียมชนะ 3-2 แต่นักเตะซามูไรบลูก็ได้พิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นว่า พวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว
และไม่ยอมแพ้เพียงใด

ดราม่าที่บรรเลงใส่ฟุตบอลโลกครั้งนี้อีกอย่างหนึ่งคือ การที่ทีมใหญ่พากันปิดฉากเร็วกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นทีมชาติเยอรมนีที่ตกรอบแรกไปแบบไม่น่าเชื่อ หรือทีมชาติอาร์เจนตินา ของเมสซี่, ทีมชาติโปรตุเกส ของโรนัลโด้ และทีมชาติสเปน ที่มีดาวดังเต็มทีม ก็กอดคอกันเหงาๆ ไปพบกันที่สนามบิน เมื่อต้องปิดฉากแค่รอบ 2 เท่านั้น
หรือทีมดังอย่างทีมชาติบราซิล ก็โดนทีมเบลเยียมเขี่ยตกรอบไปในรอบ 8 ทีมสุดท้าย หักอกแฟนๆ เป็นทิวแถว
สำหรับทีมมหาชนอย่าง “ทีมชาติอังกฤษ” ถึงแม้จะพ่ายในการชิงที่ 3 ให้กับเบลเยียม แต่ก็มาได้ไกลกว่าที่กูรูลูกหนังคาดการณ์ไว้ ด้วยนักเตะของทีมอายุยังน้อย อ่อนประสบการณ์ แต่นั่นอาจทำให้ไม่ต้องกดดันมาก ไม่ต้องแบกความคาดหวังไว้เต็มบ่า จนสามารถทำผลงานออกมาได้อย่างดี เป็นอันดับ 4 ของการแข่งขัน
อีกทีมหนึ่งที่ต้องพูดถึง คือทีมเจ้าภาพ “รัสเซีย” ที่ก็เป็นอีกหนึ่งทีมที่มาไกลกว่าที่คิด เพราะก่อนการแข่งขันจะเริ่ม ผลงานในการอุ่นเครื่องของทีมหมีขาวไม่ดีเอาเสียเลย แต่ในที่สุดพวกเขาก็สามารถกรุยแข้งฝ่าฟันจนมาตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้อย่างไม่อายใคร

นอกจากเรื่องดราม่าในระดับทีมแล้ว ก็มีเรื่องดราม่าในระดับนักเตะอีกด้วย อย่างดราม่าเรื่องอาการบาดเจ็บ (จริงๆ) ของโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ทีมชาติอียิปต์ ที่ลุ้นทุกวันว่าจะลงเตะได้ไหม ลงแล้วผลงานเป็นอย่างไร
รวมทั้งดราม่าเรื่องอาการบาดเจ็บ (ปลอมๆ) ของเนย์มาร์ ที่กลายเป็นเรื่องล้อเลียนไปทั่วจนมีการนำมาทำเป็นคลิปสนุกๆ ให้ได้หัวเราะกัน แต่เจ้าตัวเนย์มาร์คงขำไม่ออก
ส่วนข่าวใหญ่ระดับโลกข่าวหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังการเปิดการแข่งขันฟุตบอลโลกราว 1 สัปดาห์ก็คือข่าวภารกิจทีมหมูป่าอะคาเดมีติดอยู่ในถ้ำลึก อย่างที่ทราบกันดีว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องที่คนทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก ไม่น้อยกว่าฟุตบอลโลกเลย
การร่วมลุ้นเอาใจช่วยให้ภารกิจสำเร็จ ให้ทั้ง 13 ชีวิตรอดปลอดภัยออกมาให้ได้ ได้รับความสนใจจากคนในหลายๆ วงการทั่วโลกอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่นักเตะดังๆ ของโลก ทั้งที่เตะหรือไม่เตะฟุตบอลโลกอยู่ก็ตาม ได้ส่งกำลังใจผ่านโซเชียลมีเดียให้กับภารกิจนี้ก็หลายคน
ไม่เว้นแม้แต่ประธานฟีฟ่าที่เกาะกระแสความดัง ด้วยการเชื้อเชิญให้ทั้ง 13 หมูป่าได้บินไปชมแมตช์ชิงชนะเลิศที่ประเทศรัสเซียเลยทีเดียว แม้ในความเป็นจริงทั้ง 13 คนต้องพักรักษาตัวอีกสักระยะ แต่ท่านประธานก็ยินดีปรับเป็นโปรโมชั่น ให้ไปชมในการแข่งขันครั้งหน้า คืออีก 4 ปีที่ประเทศกาตาร์ได้
เรียกว่าฟุตบอลโลกก็ฟุตบอลโลกเถอะ ยังแพ้กระแสหมูป่าของเราเลย

เมื่อพูดถึงฟุตบอลโลก ก็มีหลายเสียงย้อนมาถามถึงทีมชาติไทยว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสไปฟาดแข้งกับเขาบ้าง ตามทีมชาติเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อิหร่าน ซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ ซึ่งจากการประกาศระบบการแข่งขันใหม่ในปี 2026 ให้เพิ่มทีมในรอบสุดท้ายจาก 32 ทีมเป็น 48 ทีม นั่นทำให้โควต้าของทีมจากทวีปเอเชียก็เพิ่มขึ้นด้วย ก็น่าจะเป็นข่าวดีของทีมชาติไทยได้ที่มีสิทธิ์ลุ้นมากขึ้น
ทีมชาติไทยต้องวางแผนระยะไกล และเตรียมความพร้อมตั้งแต่ตอนนี้ โดยให้ความสำคัญกับนักเตะรุ่นอายุ 16-17 ปีในตอนนี้ ที่เวลาอีก 8 ปีนักเตะเหล่านี้ก็จะอายุ 24-25 กำลังสุกงอมในฝีมือและประสบการณ์พอดี
บางคนแนะนำว่าให้เอาทีมหมูป่าอะคาเดมีนี่แหละมาปั้น ไหนๆ คนทั้งโลกก็เอาใจช่วยเอาใจเชียร์พวกเขาอยู่แล้ว ก็มอบภารกิจการไปฟุตบอลโลกเป็นภารกิจตอบแทนไปเสียเลย…ว่าเข้านั่น
แต่หากเป็นได้จริง แม้จะไม่ต้องทั้งทีม คิดเล่นๆ ว่า ในปี 2026 ถ้าไทยได้ไปบอลโลกจริงๆ และ 1 ในสมาชิกของนักเตะไทยมาจากทีมหมูป่าอะคาเดมี เรื่องนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งของฟุตบอลโลกครั้งนั้นอย่างแน่นอน
แต่สุดท้ายแล้วหากไทยก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันก็ไม่เป็นไร
แฟนๆ ฟุตบอลชาวไทยก็เปิดหน้าจอส่งเสียงเชียร์ทีมที่รักเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาก็ได้ เรื่องเชียร์เรื่องลุ้นนี่ไม่ต้องห่วง พี่ไทยเราไปไกลกว่าหลายชาติในโลกนี้เยอะ
หรือไม่จริง