ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์ |
เผยแพร่ |
ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส หรือปุ๊น นักธุรกิจในวัย 27 ย่าง 28 ที่ผันตัวเตรียมกระโดดจากสนามการค้ามาสู่สนามการเมือง ได้เล่าถึงชีวิตที่ผ่านอะไรมาเยอะมาก จากปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้เขาอยากเข้ามาทำงานการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าในสนาม กทม. ทั้งปัจจัยครอบครัว แรงกดดัน และโอกาสที่เข้ามา
: พี่ชายพิการ จุดเริ่มต้นให้คิดถึง “คนอื่น”
ผมมีพี่ชายอายุมากกว่าผม 2 ปีซึ่งพิการตั้งแต่กำเนิด แม่เล่าให้ผมฟังว่า ระหว่างที่ตั้งท้องผม แม่จะพูดกับผมเสมอว่าลูกเกิดมาต้องมาดูแลพี่ชายนะ ผมนอนกับพี่ชายทุกคืน เวลาไปโรงเรียน พี่ชายก็มาส่งผม แล้วก็นั่งรถมารับกลับ
ทุกวันเกิด คุณแม่จะพาไปบ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน ไปเจอคนที่มีเหมือนพี่ผม แต่เขาเหล่านั้นถูกครอบครัวทิ้ง พอเราไปเราจะเห็นเลยว่าพี่ชายเราโชคดีที่ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง
แต่จากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่ออายุ 9-10 ขวบ พ่อแม่ผมแยกทางกัน หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง พ่อผมถูกฟ้องล้มละลาย แม่ผมทำงานคนเดียวเพื่อหาเลี้ยง ลูกคนหนึ่งก็พิการ อีกคนก็จะพยายามส่งเสียให้ได้เรียนนานาชาติและให้ไปต่างประเทศ นี่เป็นเรื่องที่หนักมากสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง
ตอนนั้นเราไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย ต้องพยายามสร้างขึ้นมาใหม่ กลับบ้านมาร้องไห้ทุกวัน ถือเป็นเรื่องปกติ แล้วผมก็เริ่มคิดว่าต้องเริ่มหาทางแบ่งเบาภาระของคุณแม่
: เริ่มทำงานบนเส้นทางสายดนตรี
ช่วงวิกฤตนั้นผมก็พยายามหางานทำ งานแรกของผมคือการหัดเล่นดนตรี ก็มีการฟอร์มวง เพื่อชิงรางวัลเงิน เล่น-ซ้อมเยอะมาก จนทำงานไประยะหนึ่งมีคนมาถามว่าสนใจทำเพลงหรือไม่ ก็มีโอกาสฟอร์มวงแล้วออกอัลบั้ม ทำแบบจริงจัง ในการทำงานผมเห็นตัวอย่างจากแม่ที่ไม่เคยยอมแพ้ทำให้ผมมีมานะ จนวันหนึ่งได้ออกอัลบั้ม แล้วก็ได้มาเรียนดนตรีที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์มหิดลซึ่งเข้ายากมาก
ชีวิตช่วงนั้นผมตกผลึกข้อคิดที่ได้จากการเล่นดนตรี ว่านี่คืออาชีพที่ไม่ได้เอาเปรียบใคร คุณจ่ายเงินมาฟังให้คนมีความสุข มาชมคอนเสิร์ต เพื่อทำให้คนที่อยู่ตรงหน้ามีความสุขที่สุด มันเป็นเรื่องของการให้และได้กลับคืนมา
ซึ่งจากนั้นผมก็เริ่มเป็นนักแต่งเพลงด้วย ผมแต่งเพลงให้กับศิลปินชื่อดังมากมาย อาทิ เฟย์ฟางแก้ว วงเคโอติก ส่วนใหญ่ให้กับศิลปินในค่าย Kamikaze ผมรู้สึกดีกับ “การเป็นผู้ให้” และตั้งใจว่าสักวันจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
: เป็นนักธุรกิจอายุน้อยร้อยล้าน?
วันหนึ่ง กิจการที่บ้าน (เกี่ยวกับกระดาษ) เริ่มตั้งตัวได้ ผมก็เริ่มเข้าไปช่วยงานที่บ้านในฐานะลูกชายคนเดียว (ที่สามารถทำงานได้) จากที่มีคนเคยดูถูกหรือคิดว่าเราทำไม่ได้ แต่ผมได้ใช้คำเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองตั้งใจทุ่มเทกับมัน แต่คนเรามักมองกันที่ปลายทางว่าประสบความสำเร็จมีเงินร่ำรวย แต่คนไม่เคยสนใจ หรือไม่ทราบมาก่อน กว่าจะมาถึงวันนี้ผมผ่านอะไรมาบ้าง ผ่านวิกฤตมาขนาดไหน
วันนี้ผมมีธุรกิจมูลค่ากว่า 100 ล้าน กว่าจะผ่านมาถึงวันนี้ได้ผมโคตรเหนื่อยมากที่สุดในชีวิต ทั้งเคยเอาบ้านไปจำนองวางประกันกับธนาคาร ผมเองได้ใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานไปทำสตาร์ตอัพ ทั้งเรื่องของรองเท้าส่งออก หรือการทำธุรกิจติดตั้งระบบสมาร์ตโฮมด้วย ก็เป็นหนึ่งในอีกหลายธุรกิจที่ได้ทำ
: เข้ามาทำงานการเมืองได้อย่างไร?
ครอบครัวผมไม่ใช่นักการเมืองเลย ไม่มีเกี่ยวข้องหรือนับถือนักการเมือง แต่จุดเริ่มต้นคิดว่ามาจากการที่ผมเคยไปเป็นตำรวจอาสา กทม. แล้วมีคนมาสัมภาษณ์ ว่ามีนักธุรกิจอายุ 24-25 ใช้เวลาว่างเป็นตำรวจบ้านอาสา ทำให้เป็นที่รู้จักและมีโอกาสไปอบรมโครงการ One Young World ในฐานะตัวแทนประเทศไทย มีเยาวชนระดับโลกมากมายเข้าร่วมโครงการนี้
มีอดีตเลขาธิการสหประชาชาติมาพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงของโลก ขณะเดียวกันผมเคยบวชอยู่นาน 4 เดือน และผมเป็นคนที่ช่วยงานวัดตลอด
ช่วงนั้นเองได้มีโอกาสเจอกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ช่วงนั้นคุณหญิงทำโครงการบูรณะสถานที่ประสูติ ก็รู้จักและคุยกันมาหลายปี จนท่านเห็นว่าเรามีแนวความคิดน่าสนใจอยากให้เข้ามาช่วยพัฒนาบ้านเมืองให้ดีขึ้น ผมก็บอกท่านว่าผมอยากทำนะ แต่ไม่รู้ว่าผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือไม่ ก็เป็นจุดเริ่มต้นเข้ามาช่วยงานคุณหญิง
จนวันนี้ผมมาทำโครงการ “Change บางกะปิ” ซึ่งเขตนี้เป็นเขตที่คุณหญิงเคยเป็น ส.ส. มาก่อน คุณหญิงวางตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว พร้อมเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ เสมอ มีความเข้าใจ startup เข้าใจ bitcoin เข้าใจเรื่องราวคนรุ่นใหม่ ผมก็พยายามรับฟัง มีการเปิดเว็บไซต์ มีช่องทางโซเชียลมีเดีย เก็บ Big Data ในพื้นที่ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง มีฐานข้อมูลที่เก็บไว้มหาศาล ซึ่งมาจากการรับฟัง และมีช่องทางให้คนในบางกะปิเข้ามาแจ้งเรื่องต่างๆ
ผมจึงอยากจะเข้ามาช่วยพัฒนาบ้านเมือง ผมชอบใช้คำนี้มากกว่าการที่ใช้คำว่า “นักการเมือง” อดีตผมเห็นว่าที่บ้านเราไม่ได้มีการพัฒนาเรื่องของระบบขนส่งมวลชน คนพิการก็ไม่ได้มีสวัสดิการที่ดีพอ
รวมถึงปัญหาโครงการ startup เรื่องแกร๊บ แท็กซี่อูเบอร์ มีการปล่อยปัญหาให้คาราคาซัง ไม่แก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง แล้วก็เห็นว่าสังคมใช้วิธีปิดตาข้างเดียวกับทุกปัญหา
ทั้งเรื่องการพนัน รู้ว่ามีการจ่ายใต้โต๊ะ การเปิดอาบอบนวดแฝงการค้าประเวณีที่ยังเห็นว่ามีอยู่เต็มไปหมด จนทำให้สังคมเรามีการคอร์รัปชั่น มีที่มาของค่าตำแหน่ง มีการแบ่งพื้นที่โรงพัก เกรด A B C นำมาซึ่งปัญหาอีกหลายอย่าง ต้องมีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้
ผมเลยกลับมามองว่า อาชีพไหนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้บ้านเมืองได้ ถ้าไม่ใช่นักการเมืองที่ตั้งใจอยากเข้ามาช่วยพัฒนาบ้านเมือง เข้าใจสภาพปัญหาดี สามารถผลักดันจัดสรรงบประมาณได้ ถ้า ส.ส. ในพื้นที่รู้ปัญหาแล้วไปผลักดันในสภา
ทั้งนี้ ผมมองว่าส่วนหนึ่งคนจะต้องตื่นตัวเรื่องการเมืองมากกว่านี้ รวมถึงตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตย เข้าใจความหมายและระบบของมัน นักการเมืองถ้าไม่ดี 4 ปีมีโอกาสเลือกใหม่ได้
แต่วันนี้คนยังยอมให้ระบบที่คนไม่ได้เลือกเขามาเข้ามาบริหารบ้านเมืองนาน คุณยอมให้เกิดขึ้นและคุณเลือกที่จะมาบ่นว่าเศรษฐกิจแย่ ซึ่งในทางรัฐศาสตร์บอกว่าการเงียบคือการยอมรับอย่างหนึ่ง
ยังไม่รวมถึงเรื่องต่างๆ กับกระแสโลกเกิดขึ้นมากมายทั้งสิทธิเพศ LGBT สิทธิการเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสิทธิและระบอบประชาธิปไตย โดยมีเรื่องของการรับผิดชอบต่อสังคม เคารพสิทธิคนอื่น การมีส่วนร่วมของประชาชน มีเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนต้องมีให้มากขึ้น
ผมมองว่า บ้านเรามีภูมิศาสตร์ดี มีภูเขา แม่น้ำ ทะเลสวยงาม แทบไม่มีภัยธรรมชาติรุนแรงเหมือนกับประเทศอื่น แต่พังเพราะคน เราต้องช่วยกันในการเลือกนักการเมืองที่ดีเข้ามาบริหารบ้านเมืองและมีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง และต้องเลิกแบ่งสีเสื้อ เลิกใช้วาทกรรมเฮดสปีช ทำบ้านเมืองให้เดินไปข้างหน้า ไม่มีคำว่าพรรคพวก แต่มาร่วมกันทำงาน ไม่งั้นเราจะย่ำอยู่กับที่ ไม่ไปไหน
ผมอยากให้มันหยุดที่เจเนอเรชั่นของผม ผมอยากจะเข้ามาปัดกวาด ปัญหาที่คนรุ่นก่อนทิ้งเอาไว้ ผมอยากให้คนเจนผมมาพัฒนาทำให้สะอาดเรียบร้อย
ผมยังเคยคิดเล่นๆ ว่าตอนแรกที่ทหารเข้ามาจะเข้ามาปัดกวาด ภาษีที่ดิน ภาษีมรดก อะไรต่อมิอะไร เช่น รถไฟความเร็วสูงคงเกิดขึ้น อะไรก็ดีขึ้น
แต่เราหันไปมอง 4 ปีที่ผ่านมา กลับเหมือนเดิมย่ำอยู่กับที่
บอกว่ามีความ “สงบ” แต่การสงบภายใต้กระบอกปืนไม่สามารถเรียกได้ว่าความสงบนะครับ ทุกวันนี้ยังมีปัญหานี้อยู่หรือไม่ ทั้งมาเฟีย หรือการเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ลงไปดูได้เลยในแต่ละพื้นที่ ทั้งที่คุณมีทั้งอำนาจ มีทั้งปืน ไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีคนตรวจสอบ แต่ก็ยังทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง หากเป็นอย่างนี้ ในรัฐบาลเลือกตั้งคงอยู่ไม่ได้แล้ว
แล้วผมก็อายที่เป็นอยู่แบบนี้