เผยแพร่ |
---|
หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 24 ก.ค. 2558
ยอมรับเลยค่ะว่าโฆษณาของบริษัทประกันแห่งหนึ่งที่ทำออกมาเรื่องเกี่ยวกับในหลวงนั้นกระแทกใจอย่างแรง และฉันเชื่อว่าหลายคนน่าจะมีความรู้สึกไม่ต่างกัน
จากเสื้อ “เรารักในหลวง” ที่มีคนทำออกมาขายกันกลาดเกลื่อน เราได้แต่ซื้อเพราะเห็นใครๆ ใส่กัน หรือซื้อเพราะจะได้มีใส่ในวันที่ 5 ธันวาคม มันก็ไม่ต่างจากที่เราบอกรักพระองค์ท่านแต่ปาก แต่เราได้ทำอะไรเพื่อให้เห็นว่าเรารักท่านจริงๆ
จนในที่สุดจึงเกิดเสื้อ “เราจะทำแบบในหลวง” ขึ้นมา ซึ่งเชื่อว่าก็คงมีคนอยากได้มากมาย แต่ก็อีกนั่นแหละ เราอยากได้แค่เสื้อ แต่เราไม่ตระหนักถึงความหมายที่อยู่บนเสื้อหรือเปล่า
ในโฆษณามีเนื้อเรื่องดีจัง เห็นในหลวงทำอย่างไร เขาก็ลงมือทำบ้าง ทำได้ในแบบของเขา ทำเลยแบบไม่รีรอ อยากทำก็ทำ!
นี่แค่คนเดียว ถ้าตั้งใจจริงยังทำได้หลายอย่าง เก็บขยะ สอนหนังสือเด็ก ช่วยคนแก่แถวบ้าน แล้วถ้าเราหลายๆ คนช่วยกัน และขยายไปสู่ทุกคนช่วยกัน ประเทศชาติเราจะดีแค่ไหน และพระองค์ท่านจะมีความสุขเพียงใด
จริงๆ แล้ว เรามีวิธีแสดงให้เห็นว่าเรารักในหลวง เรามีความจงรักภักดีต่อท่านได้ตั้งหลายวิธี แต่ขอให้แสดงออกมาผ่านการกระทำ อย่าเก็บงำ อย่ารักนะไม่แสดงออก อย่าเขินอาย อย่ากลัวเพื่อนล้อ อย่ามีฟอร์ม
เพราะสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อต้องลงมือทำ!
ง่ายๆ เลยคือ “จงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
นี่ยังไม่ได้บอกว่า “ให้ดีที่สุด” ด้วยนะ เอาแค่ให้ดีก็พอ
เป็นนักการเมือง เป็นให้ดี อย่าคิดแต่โกง ถ้าไม่คิดจะช่วยประชาชนจริงๆ กราบล่ะอย่ามาเป็นเลย ไปเป็นนักธุรกิจคิดกำไรขาดทุนของตัวเองไปเถอะ
เป็นช่างผม ก็จะทำผมลูกค้าให้ดีเลย เขาจะได้สวยได้หล่อ สบายใจ มีกำลังใจ มีความมั่นใจไปทำงานทำการให้ดีขึ้นต่อไป
เป็นคนทำอาหาร ก็จะปรุงอาหารให้ดี เลือกสิ่งดีๆ ทำให้สะอาด ไม่ทำส่งๆ ชุ่ยๆ คิดเงินแพงๆ ไม่คุ้มค่ากับอาหารที่ทำไป คุณรู้ไหมเวลาได้กินอาหารดีๆ มันต่อชีวิตเลยนะ อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งจิตวิญญาณ คิดดูถ้าทุกๆ วันได้กินอาหารไม่ดี ชีวิตที่เหลือเขาจะเป็นอย่างไร สุขภาพแย่ ชีวิตก็แย่
เป็นคนเขียนหนังสือ เป็นสื่อกลางให้คนได้อ่าน เขียนยังไงให้คนได้ประโยชน์ ได้รู้ ได้คิด ได้เปลี่ยน แต่ไม่ใช่ให้เกิดความแตกแยก เกลียดชัง มันเหมือนยาพิษที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายเราไปทีละนิด รู้อีกทีเรามีแต่ความคิดลบๆ ในหัวไปหมด ถ้าเขาได้อ่านแล้วชีวิตเขาดีขึ้น สว่างขึ้น แล้วเขาได้เอาตัวเองไปทำสิ่งดีๆ ต่อไป ยิ่งเป็นบุญสองต่อทีเดียว
เป็นคนขายของ จะขายอะไรก็แล้วแต่ ทำของดีๆ ออกมาขายเท่านั้น ไม่ปลอม ไม่สอดไส้ ไม่ย้อมแมว ไม่โฆษณาเกินจริง คิดดูเวลาคนซื้อเขาซื้อไปใช้ ไปอยู่ ไปกิน แล้วมันดีกับชีวิตเขา เขาก็มีแรงกำลังในการทำหน้าที่ให้ดีต่อไป
แต่ถ้าใช้แล้วแพ้ อยู่แล้วแย่ กินแล้วป่วย คุณก็เหมือนทำบาปกับเขา เอาเงินเขามาแลกกับของไม่ดีของคุณ บางทีของของคุณอาจจะกำลังฆ่าเขาแบบผ่อนส่งก็ได้ อะไรไม่ดีอย่าทำออกมาเลย อย่าเห็นแก่เงินที่จะได้เพียงอย่างเดียว
ให้เขากินเขาใช้แล้วเขาสรรเสริญ ขอบคุณ ดีกว่าให้เขาก่นด่า สาปแช่งภายหลัง ได้เงินมาจากความทุกข์ยากของคนอื่น มันมีความสุขหรือ?!
ใครรวยแล้ว ก็แบ่งปัน ช่วยเหลือคนที่เขาด้อยโอกาส หยิบยื่นให้โอกาสเขาได้ช่วยเหลือตัวเอง ให้ทุนตั้งต้น ให้โอกาส ให้ค่าอาหาร ให้การศึกษา ให้ความรู้เขา
“ให้คืนกลับบ้าง” หลังจาก “รับเข้ามาเยอะ”
แต่ถ้าเราเป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่ได้มีกิจการร้านค้าใด เรื่องง่ายๆ ที่ทำได้คือ ดูแลรักษาถิ่นฐานที่เราอยู่ด้วยตัวของเราเอง อย่าคิดว่าคนนั้นคนนี้ต้องมาช่วย ภาครัฐต้องมารับผิดชอบ
โธ่คุณคะ ประชากรหลายสิบล้านคน ใครมันจะไปดูไหวทั้งหมด คุณก็ต้องดูแลตัวเองกันบ้าง อย่างอมืองอเท้า
วันก่อนดูข่าว มีชาวบ้านที่หนึ่งเป็นโรคผิวหนัง มีผื่นคันเห่อกันทั้งหมู่บ้าน สืบสาวได้ความว่าแพ้น้ำในหมู่บ้าน เกิดจากขยะที่ถูกทิ้งลงไปเลยทำให้น้ำเน่าเสีย พอเอามากินมาใช้ก็แพ้!
ถามหน่อยว่า ขยะมาจากไหน!? หมู่บ้านอื่นขนมาทิ้งที่นี่รึ!?
หรือน้ำไม่ระบายเพราะติดผักตบชวา เอ้า!! ก็ช่วยกันลอกสิ วันหนึ่งนัดกันเลย ขอแรงจากทุกบ้าน ผู้ชายลงไปลอก ผู้หญิงช่วยลาก ช่วยเก็บ เด็กทำอะไรได้ก็ทำไป จะเอาไปทำปุ๋ย สานทำกระเป๋าอะไรก็ว่าไป ของแบบนี้ต้องรอใครมาช่วย ไม่ต้องรอ ไม่ต้องงอ เราทำเราเอง
ส่วนใครสัญญาว่าจะทำอะไรแล้วไม่ทำ แค่จำเอาไว้ ครั้งหน้ากรูไม่เลือกมรึง จบ!
ความจริงมันไม่ยากอะไรเลย แค่เรารู้จักหน้าที่ของตัวเอง ทำมันให้ดี อย่าคิดว่าเรามันไม่สำคัญ เพราะทุกคนคือฟันเฟืองให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้ น็อตเล็กๆ ตัวหนึ่งย่อมกระเทือนถึงหัวเครื่องจักรได้
ไม่เชื่อก็ลองไล่คนทำงานบ้านออกสิ!