วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร/แปรเปลี่ยน แต่ไม่ เปลี่ยนแปลง (148)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร

 

แปรเปลี่ยน แต่ไม่ เปลี่ยนแปลง (148)

 

การพบระหว่างเอี้ยก่วยกับจิวแป๊ะทงแม้จะมีความเป็นมิตร แต่ในแต่ละการเคลื่อนไหวกลับดำเนินไปผ่านกระบวนการตรวจสอบ ทดลอง หยั่งเชิง

เริ่มจากจิวแป๊ะทงยื่นมือตะปบใส่หน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าเอี้ยก่วย

เป็นการตะปบใส่ด้านซ้ายขณะที่เอี้ยก่วยหดไหล่ขวาเล็กน้อยศีรษะกลับเบี่ยงเบนไปทางซ้าย การตะปบของจิวแป๊ะทงจึงพลาดผิด พลันผู้เฒ่ากางนิ้วทั้ง 5 หยุดชะงักบริเวณก้านคอเอี้ยก่วย เพียงงงงันไปวูบหนึ่งก็แหงนหน้าขึ้นหัวร่อเสียงดัง

“เอี้ยเฮียตี๋ ฝีมืออันยอดเยี่ยม ฝีมืออันยอดเยี่ยม เกรงว่ายังเหนือล้ำกว่าตอนที่เราเฒ่าทารกอยู่ในวัยหนุ่มอีก”

กิมย้งอรรถาธิบายตามสำนวน น.นพรัตน์ ว่า

ที่แท้ท่าตะปบหลบเลี่ยงของทั้ง 2 ล้วนแสดงออกถึงพลังฝีมืออันลึกล้ำ ตามเหตุผลจิวแป๊ะทงพอตะปบเช่นนี้พลังของนิ้วครอบคลุมพื้นที่รัศมีวาเศษ เอี้ยก่วยอย่าว่าแต่เบี่ยงศีรษะหลบเลี่ยง ต่อให้กระโดดพุ่งถอยก็ไม่อาจหลบรอด

นอกจากยื่นมือปิดป้องปะทะอย่างหักโหมค่อยคลี่คลายได้ แต่แล้วเอี้ยก่วยกลับหดไหล่ขวาเล็กน้อย ท่วงท่าตามหลังคือตระเตรียมใช้พลังแขนเสื้อเหล็กแหวกจู่โจมใส่ เฒ่าทารกต้องผนึกสมาธิเตรียมปิดป้อง พลังทางด้านซ้ายจึงอ่อนโทรมลง

เอี้ยก่วยเบี่ยงศีรษะเล็กน้อย พลังตะปบอันกล้าแข็งจึงถูกสลาย คลายสิ้น

 

กล่าวสำหรับก๊วยเซียงแม้ไม่แจ้งความนัยและรายละเอียดอันลึกซึ้งของการประในแต่ละกระบวนท่าของแต่ละคน เพียงรับฟังน้ำเสียงกล่าวชมจากจิวแป๊ะทง

ก็ย้อนถามกลับอย่างมีเป้าหมาย

“จิวเล่าเอี้ยจื้อ (นายผู้เฒ่าตระกูลจิว) ตอนนี้ท่านมีพลังฝีมือกล้าแข็ง หรือว่าตอนหนุ่มแน่นกล้าแข็งกว่านี้”

“เราตอนหนุ่มแน่นผมหงอกขาว ตอนนี้ผมเผ้าดำขลับ แสดงว่าปัจจุบันเหนือล้ำกว่ากาลก่อน”

เป้าหมายของก๊วยเซียงมาแล้วจึงนำไปสู่บทสรุป “ตอนนี้ท่านเอาชัยตั่วกอกอข้าพเจ้าไม่ได้ กาลก่อนย่อมยิ่งสู้เขาไม่ได้แล้ว”

เข็มมุ่งหวังให้เกิดโทสะ แต่หาสั่นสะเทือนจิวแป๊ะทงได้ไม่

“โกวเนี้ยน้อยกล่าวเหลวไหล” พลันยื่น 2 มือออกตะปบคว้ากระดูกสันหลังและชายโครงด้านหลังนางยกชูขึ้นกลางอากาศ จับควง 3 รอบ โยนขึ้นไปเบาๆ แล้วรับร่างเอาไว้วางลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล พี่อินทรีซึ่งเพิ่งให้ก๊วยเซียงเกาะหลังบังเกิดความโกรธ คลี่กางปีกออกกวาดใส่

เห็นเช่นนั้นจิวแป๊ะทงครุ่นคิด “เรากลับคิดทดสอบดูว่า สัตว์หน้าขนอย่างเจ้ามีความสามารถสักเพียงใด”

นั่นแหละตัวตนที่แท้ของเฒ่าทารก จิวแป๊ะทง

 

โดยไม่ลังเล จิวแป๊ะทงเกร็งกำลังใส่ฝ่ามือทั้ง 2 กระแทกตอบโต้ได้ยินเสียงปงเมื่อพลังทั้ง 2 ฝ่ายเข้าปะทะกัน ผลอันตามมาเป็นอย่างไร

จิวแป๊ะทงยืนหยัด ปักหลักแน่วนิ่ง

แรงกวาดจู่โจมจากอินทรีเฉียดผ่านข้างกายไป อินทรีคิดจู่โจมตามติดแต่ได้ยินเสียงห้ามจากเอี้ยก่วย

“พี่อินทรีอย่าได้เสียมารยาท บุคคลเบื้องหน้าเป็นยอดคนผู้อาวุโส”

เสียงห้ามนั้นยังผลให้อินทรีหุบปีก แต่ยังยืนตระหง่าน ลักษณะท่าทางยังเย่อหยิ่งยโส

เห็นเช่นนั้นจิวแป๊ะทงมิได้เคืองแค้น กลับยอมรับนับถือ

“เดียรัจฉานอันร้ายกาจกลับมีกำลังไม่น้อย มิน่าถึงวางก้ามเขื่องโข”

“พี่อินทรีไม่ทราบมีอายุกี่ร้อยปี ยังชรากว่าท่านอีกนี่ เฒ่าทารก ท่านไฉนกลับกลายจากชรากลับคืนสู่ทารก ผมเผ้าที่เคยหงอกขาวกลับกลายเป็นดำ”

“ผมเผ้าหนวดเคราเหล่านี้ไม่ตามใจผู้คน” เป็นคำอธิบายจากเฒ่าทารก จิวแป๊ะทง

“กาลก่อนมันพอใจเปลี่ยนจากดำเป็นขาว ได้แต่ปล่อยให้มันเปลี่ยนไป ตอนนี้เปลี่ยนจากขาวเป็นดำ เราก็อับจนปัญญา”

 

ทําไมเอี้ยก่วยจึงต้องห้ามพี่อินทรี ทำไมเอี้ยก่วยจึงไม่เดินตามแนวอันก๊วยเซียงนำร่องไปก่อน นี่คือความเฉลียวอย่างแยบยลของมัน

มันรู้ว่า “เป้าหมาย” การมาคืออะไร

มันรู้ว่าการปะทะต่อยตีอาจทำให้เฒ่าทารกสนุกสนานเพราะว่าชมชอบการประลองฝีมืออยู่แล้ว แต่ที่มันต้องการอย่างแท้จริงคือ การโอ้โลมปฏิโลมเพื่อนำเอาเฒ่าทารกจิวแป๊ะทง ไปตามคำร้องขอของเอ็งโกว

เป็นคำร้องขอที่อิดเอ็งไต้ซือ และหลวงจีนชื้ออึงก็ปรารถนา