ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ไทยมองไทย |
ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
เผยแพร่ |
บนเส้นทางความใฝ่ฝัน
พิธีมอบประกาศนียบัตรนักเรียนของโรงเรียนมัธยมคานิงกัล โรงเรียนชายขอบแห่งหนึ่งของจังหวัดอิโลอิโล ที่สร้างความประทับใจให้แง่คิดกับทุกคน
นอกจากให้บทบาทความสำคัญกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง สถาบันครอบครัว ไม่ใช่แค่เพียงเป็นสักขีพยาน มอบดอกไม้ ถ่ายรูปกับผู้จบการศึกษาและออกมารอนอกห้องประชุม
แต่ให้เดินเคียงคู่ขึ้นรับมอบใบประกาศนียบัตรต่อจากมือของลูก
ที่น่าสนใจอีกอย่าง ให้นักเรียนขึ้นมากล่าวขอบคุณ รำลึกถึงคุณูปการของทุกฝ่าย ทุกคนที่มีส่วนทำให้พวกเขาและเธอเดินทางมาถึงวันนี้
ผู้ร่วมงานต่างพากันจับตาไปบนเวที นักเรียนคนไหน ใครคือผู้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนขึ้นกล่าว
นางสาว Kimberly M Chiva ผู้ได้คะแนนสูงสุดของนักเรียนจบเกรด 12
ทันทีที่เสียงโฆษกจบลง เพื่อนนักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู แขกผู้ร่วมงานเต็มห้องปรบมือแสดงความยินดียาวนานระหว่างเธอก้าวขึ้นยืนหน้าโพเดียมด้วยท่าทางมั่นใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ในโรงเรียนเราเรียนก่อนแล้วถึงจะทดสอบ แต่ในชีวิตจริงเราต้องผ่านการทดสอบก่อนถึงจะเรียนรู้” เธอเริ่มคำกล่าวด้วยความเฉียบคม
“ขอคารวะบุคคลสำคัญทุกท่านที่มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ในโอกาสสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นวันที่น่าดีใจและประทับใจสำหรับพวกเรา วันที่ยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่เพียงแค่วันจบ สุดท้ายของการเดินทางแห่งความฝัน แต่เป็นวันแห่งการเริ่มต้น ที่เราจะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริงต่อไป เพื่อให้เกิดสติปัญญาจากความผิดพลาดและล้มเหลวระหว่างทาง”
“หลังจากจบมัธยมต้น เรากำลังก้าวเป็นวัยรุ่น ไม่ได้คาดคิดว่ามัธยมปลายจะเป็นจุดพลิกผันชีวิต เรากำลังเดินอยู่บนหนทางวิบาก กดดันผสมผสานระหว่างการต่อสู้กับความอยู่รอด เหมือนกับเกมจากการท้าทายที่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ เรามีเป้าหมายที่จะบรรลุความสำเร็จ ต้องการการเอาจริงเอาจังและทำงานหนัก ในความเป็นจริงเรามีโอกาส ชีวิตเหมือนกับแม่น้ำต้องไหลต่อไป ดิฉันอยากจะบอก 4 คำ 10 ตัวอักษร จะอยู่หรือตาย จะสู้หรือยอมแพ้”
เด็กหญิงตัวน้อยเพิ่งจะพ้นมัธยมปลาย กลั่นถ้อยคำออกมาได้อย่างลึกซึ้งกินใจ เป็นระยะ สำนวน ลีลา วาทศิลป์ ภาษาอังกฤษสละสลวย น่าฟัง เนื้อหาให้มุมคิด ยังคงสะกดคนทั้งห้องให้ติดตามต่อไป
“สองปีแห่งการศึกษามัธยมปลาย เป็นห้วงเวลาแห่งความกดดัน ราวกับเหมือนนักวิจัยทำวิทยานิพนธ์ รายงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้หยุดหย่อน ที่จะต้องทบทวนบทเรียนเพื่อการทดสอบ”
“เรารู้ว่าเพื่อนบางคนต้องพลาดโอกาสทางการศึกษา ไปทำงานแตกต่างกัน ทำการเกษตร ปลูกพืช รับจ้างใช้แรงงานช่วยเหลือครอบครัวหาเลี้ยงชีพ แต่นั่นหาได้เป็นอุปสวรรคขัดขวางหนทางที่จะก้าวสู่ความใฝ่ฝันของแต่ละคนที่จะก้าวเดิน ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป”
“พวกเราทำงานหนักเพื่อความสำเร็จมารวมกันในที่ประชุมแห่งนี้ เหนือสิ่งทั้งหมดด้วยความเคารพ ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า ผู้ประทานสติปัญญาทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยความเชื่อมั่น ขณะนี้เรารอดผ่านพ้นมาได้ ขอใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณด้วยความจริงใจ ขอแสดงความกตัญญูกับทุกคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ”
สําหรับคุณครู ในบรรดางานทั้งหมดในโลกงานหนักที่สุดคือการเป็นครู ผู้สนับสนุน ดร.เฮซุส อินสิลาดา ครูที่รัก ผู้ปลูกฝัง อบรมสั่งสอนให้มีความรู้ ขอบคุณสำหรับการนำความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มาให้พวกเรา สนใจเอาใจใส่ ด้วยความมานะอดทนอันยาวนาน
สำหรับพ่อแม่และครอบครัวอันเป็นที่รัก เป็นพื้นฐานให้กับชีวิตมาจนถึงวันนี้ สมควรที่จะได้รับเกียรติยศเช่นเดียวกับที่พวกเราได้รับในโอกาสนี้ ผู้ให้ความเข้มแข็ง ให้กำลังใจ ปราศจากสิ่งหล่านี้เราไม่มีวันจะมาถึงวันนี้ ขอแสดงความขอบคุณอันยิ่งใหญ่ต่อพ่อแม่ทุกคน ผู้ไม่ได้มาที่นี่ และผู้ที่จากไปแล้ว
สำหรับเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมโรงเรียน ทั้งที่ใกล้ชิดสนิทสนมและคู่กัด ทำให้การเดินทางมีสีสัน ทั้งเสียงหัวเราะและขัดแย้ง เจ็บปวด กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทำให้ก้าวหน้า ขอบคุณอย่างไม่มีวันลืมและนึกถึงมาจนถึงวันนี้
สำหรับท่านผู้มีอุปการคุณ พวกเราไม่ลืมความเอื้อเฟื้อ ความเมตตากรุณาของท่านมีความหมายยิ่ง ทำให้เราประสบความสำเร็จจากการช่วยเหลือสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ของท่าน
สำหรับผู้จบการศึกษาและคนที่จะก้าวตามมาในอนาคต มันเป็นความเศร้าและเจ็บปวดในหัวใจของพวกเรามาถึงจุดที่จะต้องจากกันไป ช่วยดูแลซึ่งกันและกันในโรงเรียน เราไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นพวกเดียวกัน
โปรดยืนขึ้นและแสดงความขอบคุณด้วยรอยยิ้ม กล่าวคำว่าขอบคุณสำหรับทุกท่าน พูดตามดิฉันอีกครั้ง
“พวกเรารักทุกคน”
“เรายังคงจดจำกันตลอดไป ลาทีมิใช่ลาก่อน การฝึกซ้อมจบลง แต่การแสดงในชีวิตกำลังจะเริ่มต้น ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพในเส้นทางเดินต่อไป”
ฟังเธอจบลง ผมขอคำกล่าวในทันที เธอรับปากจะมอบให้ภายหลัง ระหว่างอาหารมื้อกลางวันเธอเดินแหวกผู้คนมายื่นให้ด้วยความยินดี ผมกล่าวขอบคุณ ไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดนั้น เธอไม่ผิดคำพูดที่ให้ไว้
ไม่ได้ถามเธอว่าจบมัธยมปลายสาขาไหน แต่เชื่อมั่นว่าเด็กน้อยคนนี้อนาคตสดใส ก้าวหน้า มั่นคงแน่นอน
ความคิด ลำดับการพูด ครบเครื่อง ออกมาจากใจ ผ่านการกลั่นกรอง เตรียมการอย่างดีและไม่ประหม่าแม้แต่น้อย ทำให้ผมนึกถึงฟรานซิส เบคอน นักคิด นักเขียน บอกไว้ว่า “การอ่านทำให้คนเป็นคนอย่างสมบูรณ์ การประชุมทำให้คนเตรียมพร้อม การเขียนทำให้คนแม่นยำ”
เธอเป็นผลผลิตของโรงเรียน ของครู และครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีคนหนึ่งด้วย เป็นแบบอย่างทำให้ได้ศึกษาเรียนรู้ ครูมีส่วนสร้างเธอและเพื่อนร่วมทางในโรงเรียนทุกคน
เด็กน้อยเป็นคนหนึ่งที่สะท้อนศักยภาพของนักเรียนระดับมัธยมปลาย ระบบและคุณภาพการศึกษาของฟิลิปปินส์ให้ได้เห็น ก่อนคณะกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าฯ จะบอกลา เพื่อไปพบกับผู้บริหารการศึกษาในระดับรัฐบาลที่มะนิลาวันต่อไป