บทวิเคราะห์ : เพื่อไทย-ปชป. สงวน “จุดต่าง” “มาร์ค” โผล่เบิร์ธเดย์ “สุเทพ” “อ้วน” ขอ “พท.” ยุติต่อว่าคนถูก “ดูด”

ต้องยอมรับว่า นับตั้งแต่ “ปฏิบัติการดูด” ต้อนอดีต ส.ส.เข้าพรรคพลังประชารัฐ ถูกสมาชิกพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ประจานอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเรื่อยมาจนกระทั่งกลายเป็นเรื่องร้องเรียนกันในทางกฎหมาย

ไม่เพียงทำให้กระแสของ “กลุ่มสามมิตร” ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นหัวขบวนใหญ่เท่านั้นที่ติดลบ

แต่เมื่อได้เห็นท่าทีไฟเขียวและปกป้องการเดินสาย “ดูด” ของกลุ่มสามมิตร

ไม่ว่าจะมาจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ไม่ว่าจะมาจาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยิ่งทำให้ “พลังประชารัฐ” พรรคการเมืองหนึ่งในบรรดาหลายๆ พรรคที่ คสช. สนับสนุนเตรียมการไว้สำหรับการสืบทอดอำนาจรัฐในอนาคต จึงมีกระแสติดลบไปด้วย

ติดลบขนาดที่เคยประกาศไว้ว่า จะเปิดตัวอย่างอลังการ จึงต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนบัดนี้ก็ยังกำหนดฤกษ์ที่แน่ชัดไม่ได้ มิหนำซ้ำยังถูกขุดอดีตขึ้นมาเยาะเย้ยถากถางกันเป็นเรื่องตลกขบขันกันในทางการเมือง หลังจากที่คุยไว้เยอะว่า จะมีอดีต ส.ส. มาร่วมทัพนับร้อยคน

ขณะที่กระแสพลังดูด ยังร้อนเลยเถิดไปไกลถึง “เขตทหาร” ในพื้นที่

โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานอันเป็นฐานที่มั่นของเพื่อไทยอันเป็นเขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ที่ถูกโจมตีว่าเป็นหนึ่งในฟันเฟืองของพลังดูด กระทั่ง พล.ท.ธรากร ธรรมวินทร แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องรีบออกมาปฏิเสธ

ทั้งยังทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้ถูกหนุนให้ขึ้นเป็นนายกฯ อีกสมัยจากกลุ่มสามมิตร ต้องอยู่ในสถานะตั้งรับ ตกเป็นจำเลยสังคมเช่นเดียวกัน

กระทั่งเป็นที่มาของวลีที่ปฏิเสธว่า “จะดูดทำไมให้เมื่อยปาก” นั่นเอง

แน่นอนว่ายุทธวิธีการใช้ “ปาก” ของเพื่อไทยสามารถหยุดเกม “ดูด” ได้ในระดับหนึ่ง

อย่างน้อยๆ ก็ไม่ปรากฏภาพอันโจ่งครึ่ม เหมือนกับกรณีเชิญนักการเมืองพูดคุยที่ทำเนียบรัฐบาล หรือเหมือนกับกรณีสอง ส. จากสามมิตร นั่งเครื่องบินยกขบวนบุกไปถึงรีสอร์ตดัง จ.เลย เพื่อดูดเอาอดีต ส.ส. 2 สามี ภรรยา “ปรีชา-เปล่งมณี” เร่งสมบูรณ์สุข อีก

แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน เกมนี้มีได้ก็ต้องมีเสีย

เพราะต้องยอมรับว่า ผลจากตีฝีปากกล่าวหาอดีต ส.ส. ที่มีชื่อถูกจัดไว้ในโผให้เป็นพวกที่ดูดได้แล้วตามที่สื่อหลายสำนักเผยแพร่ว่าเป็นพวกขายตัว เห็นแก่เงิน ไร้อุดมการณ์ หรือแม้กระทั่งหักหลังทักษิณ ได้ทำให้เกิดเป็น “รอยร้าว” กันเองขึ้น

นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้แกนนำพรรคเพื่อไทยสั่งเบรกลูกพรรคหยุดโต้ตอบ

โดยเฉพาะ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่ได้ร่อนข้อความไปถึงอดีต ส.ส.ทุกคน และสมาชิกพรรค โดยระบุว่า

“เรียนสมาชิกทุกท่านในพรรค สืบเนื่องจากข่าวกรณีการดูด ส.ส.ของพรรคต่างๆ ในขณะนี้ พรรคเห็นว่า ควรหลีกเลี่ยงการโต้ตอบ กล่าวหากัน และควรใช้ท่าทีที่พยายามรักษามิตรภาพที่เคยมีร่วมกันมา

“และที่สำคัญ พรรคเคารพการตัดสินใจของทุกคน และจะรอการตัดสินใจของประชาชนในวันเลือกตั้ง โดยพรรคพร้อมเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสู่การเมืองเพื่อมาร่วมทำงานการเมืองกับพรรค โดยอยากเห็นการอาสารับใช้ประชาชนมากกว่าการเข้ามายึดการเมืองเป็นอาชีพจนขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตยเพื่อประชาชน

“จึงเรียนมาเพื่อเป็นแนวการทำงานการเมืองในช่วงสถานการณ์นี้ และขอให้ทุกคนใช้ทุกช่วงเวลาให้เกิดประโยชน์ในการเตรียมตัว-ขบคิดเพื่อเตรียมบทบาทช่วยกันหาทางออกให้ประเทศและพี่น้องประชาชน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีและเกิดประโยชน์สูงสุด”

ถือเป็นการพลิกเกมกลับรักษาความสัมพันธ์เก่าๆ ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขภายใต้ชายคาเดียวกันเอาไว้ไม่ให้ขาดสะบั้น อีกทั้งยังเสมือนเป็นการส่งสารพอดสะพาน ประกาศพร้อมต้อนรับอดีต ส.ส.ของพรรคกลับมาสู่อ้อมอกของพรรคเพื่อไทยอีกด้วย

เช่นเดียวกับอีกฟากหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำศึกน้ำลายถล่มกันเองก็กลับมาเล่นบทหวานชื่น โดยเฉพาะล่าสุดที่ “หัวหน้ามาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถือกระเช้าดอกไม้มงคลร่วมเบิร์ธเดย์ 69 ปี “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ได้กลายเป็น 1 ในผู้ร่วมจดจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยมีแกนนำ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับตระกูลเทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส. ที่วันนี้กลายมาเป็นผู้ร่วมจดจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย เข้าร่วมอย่างคึกคัก นายอภิสิทธิ์อวยพรว่า “ขอให้นายสุเทพมีพลังเข้มแข็ง ต่อสู้เพื่อบ้านเมือง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง”

ขณะที่นายสุเทพกล่าวขอบคุณ ระบุว่า “มีอะไรให้ช่วยก็บอกมา”

พร้อมทั้งได้หยอกเย้าออกสื่อ โดยได้พูดหยอกล้ออดีต ส.ส. ว่า “ขอให้ถ่ายรูปกันหน่อย ไม่ได้ดูดนะ” ทำให้นายอภิสิทธิ์แซวกลับว่า “ถ้าใครจะไป จะทำเป็นบัญชีส่งรายชื่อไปให้”

ถือเป็นภาพสาธารณะครั้งแรกของทั้งคู่ ภายหลังจากกรณีสมคบคิด “เซ็ตซีโร่”

ที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ออกมากล่าวหา “ลุงกำนันคนดังปักต์ใต้” ที่หันไปสนับสนุน “บิ๊กตู่” ว่า เป็นผู้เขี่ยลูกยื่นหนังสือให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ชงแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง จนกระทั่ง คสช. ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งที่ 53/60 จนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยมีอยู่ถึง 2.5 ล้านคน เหลือกลับมายืนยันความเป็นสมาชิกไม่ถึงแสนคน

“ความสัมพันธ์ส่วนตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะเคยร่วมงาน เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ส่วนเรื่องการเมืองก็เป็นเรื่องต่างหากออกไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ เมื่อมีพรรคการเมืองเกิดขึ้นมาใหม่ ก็ต้องแข่งขันกันไปตามครรลอง ถือเป็นเรื่องธรรมดา” นายอภิสิทธิ์ตอบเมื่อถูกถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรครวมพลังประชาชาติไทย

แน่นอนว่า แม้แต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังยอมรับว่า การเกิดขึ้นของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ทำให้ฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง กทม. บางส่วนได้รับผลกระทบอยู่บ้าง

โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ที่ตระกูลเทือกสุบรรณยกทีมลาออก

นี่จึงเป็นที่มาของข่าวที่ระบุว่า นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ที่เคยกล่าวหา “ลุงกำนันคนดังปักต์ใต้” อาสาขอลงเขตบ้านเกิด ทำศึกสู้กับเทือกสุบรรณเอง เพราะยังเชื่อมั่นในคนใต้ที่ยังไว้ใจในยี่ห้อ ปชป. อีกทั้งยังพกความแค้นส่วนตัว หลังจำใจหลีกทางให้นายเอกนัฐ พร้อมพันธุ์ ลูกเลี้ยงนายสุเทพ ลงเขตหนองแขมแทนเมื่อการเลือกตั้งในปี 2554

ถือเป็นฉากหลังที่พรรคใหญ่เตรียมสู้กันดุด้วยท่ามกลางฉากหน้าที่หวานชื่นแสวงหาแนวร่วมเผื่อวันข้างหน้า หลังจากการเลือกตั้งอาจจะต้องขอแรงตามที่ “ลุงกำนัน” ได้เอ่ยปากก็เป็นได้!