ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | เขย่าสนาม |
ผู้เขียน | เด็กเก็บบอล [email protected] |
เผยแพร่ |
ฟุตบอลโลกหนนี้ จัดได้ว่ามีนักเตะหลายคนที่ทั้งโชว์ฟอร์มได้ดี และก็โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวัง
บางทีมหวังพึ่ง “เดอะแบก” ของตัวเองกันมากเกินไป จนกลายเป็นความกดดันที่ทำให้นักเตะคนนั้นกลับทำผลงานได้ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ
อย่างไรก็ตาม หากจะนับนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้อย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่รอบแรกมาจนถึงรอบสุดท้าย คงเหลือผู้เล่นอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น
ดังนั้น วันนี้จะมาพูดถึง 5 นักเตะที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เสมอต้นเสมอปลาย และคู่ควรกับการเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์
คนแรกเลยขอยกให้กับทางด้านของ “ลูก้า โมดริช” มิดฟิลด์จอมทัพของทีม “ตาหมากรุก” “โครเอเชีย” ที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจในการเล่นของทีมอย่างแท้จริง
เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าจอมทัพเบอร์ 10 จากสโมสร “ราชันชุดขาว” “เรอัล มาดริด” รายนี้ เป็นนักเตะที่มีความสามารถ และมีชั้นเชิงในการเล่นมากเพียงใด
ในทัวร์นาเมนต์นี้ เจ้าตัวฝากประตูสุดสวยเอาไว้ในการยิงไกลใส่ “ฟ้าขาว” “อาร์เจนตินา” ในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งโครเอเชียถล่มเอาชนะไปถึง 3-0 ด้วยกัน นอกจากนี้ยังเป็นนักเตะที่วิ่งด้วยค่าเฉลี่ยมากกว่า 10 กิโลเมตรต่อนัดด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โมดริชทำให้เห็นในทัวร์นาเมนต์นี้ ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่กล่าวมาเท่านั้น แต่เราได้เห็น “ใจ” ในการเล่นของเขาที่มีให้กับทีมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่ต้องเจอกับเจ้าภาพ รัสเซีย เราจะเห็นนักเตะร่างเล็กรายนี้แสดงให้เห็นถึงความกระหายในชัยชนะ และการทำเพื่อทีม เมื่อใดที่ได้บอลมาในครอบครอง จะพยายามหาทางบุกเพื่อทำประตูและหวังจะจบเกมให้ได้ภายใน 90 นาที หรือ 120 นาทีโดยไม่ต้องไปลุ้นถึงจุดโทษ แถมยังกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม และยังเป็นจุดศูนย์กลางในการเล่นให้กับทีมอีกด้วย
หลายๆ ทีมอาจจะมี “เดอะแบก” ที่เป็นการเล่นแบบบอลชายเดี่ยว แต่โมดริชคงนับเป็นเดอะแบกที่นำทีมให้เป็นทีมเสียมากกว่า
ต่อมาเป็นกองหน้าดาวยิง “สิงโตคำราม” ทีมชาติ “อังกฤษ” อย่าง “แฮร์รี่ เคน” ที่ทัวร์นาเมนต์นี้ นับเป็นทัวร์นาเมนต์ที่เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นหัวใจในการทำประตูของทีมสิงโตคำราม แถมเรื่องของการยิงจุดโทษยังไม่เป็นสองรองใครอีกด้วย
เดิมทีเคนนั้นก็เป็นความหวังในการทำประตูมาตั้งแต่ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว แต่ว่าในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว เจ้าตัวกลับไม่สามารถคลำเป้าได้แม้แต่ลูกเดียว สร้างความผิดหวังไปพร้อมกับผลงานของทีมชาติในทัวร์นาเมนต์นั้น
แต่กับฟุตบอลโลกหนนี้ เจ้าตัวมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม และประสบการณ์ที่มากขึ้น อีกทั้งประตูแรกในฟุตบอลโลกครั้งนี้ยังมาอย่างรวดเร็วตั้งแต่เกมแรก ทำให้ดาวยิงจาก “ไก่เดือยทอง” “ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ส” นั้น เหมือนปลดล็อกให้กับตัวเอง จนประตูนั้นตามมาอย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นอย่างหนึ่งของทีมสิงโตคำรามชุดนี้คือการเล่นเป็นทีม แม้ว่าเคนนั้นจะดูเป็นซูเปอร์สตาร์ประจำทีม สวมปลอกแขนกัปตันทีม แต่ว่าเคนกลับไม่ได้ทำตัวเหนือกว่าคนอื่นแต่อย่างใด เล่นไปตามจังหวะของเกม และเป็นที่พึ่งพาให้กับลูกทีมได้ในฐานะกัปตันทีมอีกด้วย
มาถึงกองหน้าของทีม “ตราไก่” “ฝรั่งเศส” อย่างทางด้านของ “คีเลียน เอ็มบัปเป้” กันบ้าง ซึ่งฟุตบอลโลกหนนี้เป็นทัวร์นาเมนต์ที่เขาได้แจ้งเกิดอย่างแท้จริงในการเป็นกองหน้าระดับโลกคนหนึ่ง
เดิมทีเราเคยได้ยินกิตติศัพท์ความสุดยอดของเขา ตั้งแต่ที่ขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ของ “อาแอส โมนาโก” ด้วยวัยเพียง 17 ย่าง 18 ปีเท่านั้น จนสามารถพาทีมได้แชมป์ “ลีก เอิง ฝรั่งเศส” มาครอง ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ “ปารีส แซงต์แชร์แม็ง” ในที่สุด
ในทัวร์นาเมนต์นี้เจ้าตัวได้รับเสื้อหมายเลข 10 หมายเลขเดียวกับตำนานทีมตราไก่อย่าง “ซีเนอดีน ซีดาน” หรือ “มิเชล พลาตินี่” ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจในตัวกองหน้ารายนี้ แม้ว่าเจ้าตัวจะมีอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น
ยิ่งดูการเล่นของเอ็มบัปเป้มากๆ ยิ่งดูคล้ายการผสมผสานการเล่นระหว่าง “โรนัลโด้” ดาวยิงสัญชาติบราซิล อดีตดาวซัลโวเมื่อฟุตบอลโลก 2002 กับ “เธียร์รี่ อองรี” ดาวยิงเฟรนช์แมน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวิ่งกระชากฉีกแนวรับ รวมไปถึงการจบสกอร์คมกริบที่แทบจะถอดแบบทั้งสองคนเอามารวมอยู่ในคนเดียว
เห็นได้ชัดจากการฉีกกระชากทำลายแนวรับของ “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เรียกจุดโทษได้ตั้งแต่ 12 นาทีแรก แถมยังทำได้อีก 2 ประตู ซึ่ง 1 ในนั้นมาจากการสวนกลับ ทำให้เจ้าตัวคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมนั้นมาครองด้วย
ดูแล้วหลังจากจบทัวร์นาเมนต์ เจ้าตัวอาจจะได้ย้ายทีมอีกครั้งไปแถวๆ สเปนก็เป็นได้
มาถึงดาวเตะคนสำคัญของ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” “เบลเยียม” อย่าง “เอเด็น อาซาร์” กันบ้าง หากจะบอกว่าการที่เบลเยียมมาได้ไกลสุดๆ ในรอบ 32 ปี ก็ต้องบอกว่าผลงานของอาซาร์นั้นเป็นส่วนสำคัญ
หลังจากผิดหวังมาตั้งแต่ “ฟุตบอลโลก 2014” ต่อเนื่องจนถึง “ยูโร 2016” ทำให้อาซาร์นั้นได้บ่มเพาะประสบการณ์ต่างๆ จนกลายขึ้นมาเป็นนักเตะสุดยอดอย่างในทุกวันนี้
จริงอยู่ที่เบลเยียมนั้นอุดมไปด้วยผู้เล่นที่อยู่ในระดับท็อป ซึ่งเป็นชุดที่พวกเขาเล่นร่วมกันมาหลายต่อหลายทัวร์นาเมนต์ จนครั้งนี้ดูจะเป็นการเล่นที่สมบูรณ์ที่สุด และใจกลางของความสมบูรณ์นั้นก็อยู่ที่ตัวของกองกลางหมายเลข 10 คนนี้
อาซาร์นั้นจัดได้ว่าหยุดได้อย่างยากลำบากหากต้องดวลกันตัวต่อตัว เพราะอาซาร์รู้ดีว่าจังหวะได้ควรเล่น จังหวะไหนควรจ่ายหรือว่าจะเลี้ยงกินตัวไปด้วยตัวเอง เรียกได้ว่าครบเครื่องทั้งหมด ซึ่งจะเห็นได้ว่าเกมใดก็ตามที่ปล่อยให้อาซาร์ได้มีพื้นที่ เกมนั้นคู่แข่งจะต้องเจอกับความยากลำบาก
คนสุดท้ายที่ยกมา เป็นอีกหนึ่งนักเตะของทีมตราไก่ นั่นคือ “เอ็นโกโล่ ก็องเต้” กองกลางผึ้งงานของทีม ที่มาจากสโมสร “สิงโตน้ำเงินคราม” “เชลซี”
ก็องเต้จัดได้ว่าเป็นมิดฟิลด์ในอุดมคติที่หลายๆ ทีมอยากจะมีเอาไว้ ด้วยความที่เขาเล่นเป็นตัวตัดเกมหน้ากองหลัง เขาเป็นผู้เล่นที่ไม่ว่าบอลจะไปตรงไหน มักจะมีเขาอยู่ด้วย แถมหลายๆ ครั้งเขายังเป็นคนขึ้นเกม เป็นจุดเริ่มต้นของการบุกของทีมอีกด้วย
แถมอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ นอกจากการที่เขาจะวิ่งมากกว่า 10 กิโลเมตรต่อเกมแล้วนั้น ในฐานะที่เป็นตัวตัดเกม แต่เขากลับไม่โดนใบเหลืองเลยแม้แต่ใบเดียวตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ทำให้เจ้าตัวได้ลงเล่นครบทั้ง 7 เกม
ก็องเต้จัดได้ว่าเป็นนักเตะที่เล่นเพื่อทีม และเมื่อลองมองดูดีๆ แล้ว ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด ก็มักจะมีแชมป์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกับ “เลสเตอร์ ซิตี้” หรือว่าเชลซี เรียกได้ว่าเป็นนักเตะที่ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง
แล้วคนดูล่ะ มองว่าใครเป็นผู้เล่นที่โดดเด่นสำหรับฟุตบอลโลก 2018 กันบ้าง