ต่างประเทศ : สงครามการค้ามาถึง “จุดที่ไม่อาจย้อนกลับ”?

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา กำลังผลักดันความขัดแย้งกับจีนไปสู่จุดที่ไม่มีฝ่ายไหนสามารถยอมถอยหรือย้อนกลับได้

ภายในวันที่ 30 กันยายน ในช่วงเวลาที่สหรัฐเข้าใกล้การเลือกตั้งกลางวาระที่สำคัญสำหรับฝ่ายนิติบัญญัติของทรัมป์

ทำเนียบขาวจะพร้อมสำหรับการปรับเพิ่มกำแพงภาษีอีก 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับผลิตภัณฑ์มูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ที่นำเข้าจากจีน ตั้งแต่เสื้อผ้า ชิ้นส่วนโทรทัศน์ ไปจนถึงตู้เย็น โดยมีการประกาศเรื่องนี้เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ร่วมกับกำแพงภาษีราว 50,000 ล้านดอลลาร์ที่มีผลบังคับใช้แล้ว

ซึ่งหมายถึงราคาสินค้าแทบจะเกือบครึ่งหนึ่งที่สหรัฐซื้อจากจีนจะแพงขึ้น

 

ด้านจีนมีเวลา 7 สัปดาห์ในการบรรลุข้อตกลงหรือพยายามที่จะตอบโต้และเอาชนะผู้นำสหรัฐ

โดยประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ที่กำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันทางการเมืองในประเทศให้ต้องแข็งกร้าว ได้ประกาศว่าจะโต้ตอบแบบหมัดต่อหมัด

และได้กำหนดกำแพงภาษีตอบโต้ที่พุ่งเป้าไปยังสินค้าในรัฐที่เป็นฐานเสียงสนับสนุนทางการเมืองของทรัมป์

รวมถึงถั่วเหลืองจากรัฐไอโอวาและวิสกี้เบอร์เบินจากรัฐเคนทักกีแล้ว

อย่างไรก็ตาม การจะรับมือการโจมตีไม่หยุดยั้งของสหรัฐรอบล่าสุดอาจบีบบังคับให้จีนต้องปรับเพิ่มกำแพงภาษีให้สูงมากขึ้นหรือใช้ย่างก้าวที่แตกหักมากกว่านี้ อย่างการยกเลิกคำสั่งซื้อ รณรงค์ให้ผู้บริโภคบอยคอตสินค้าอเมริกัน หรือตั้งกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนหรือควบคุมบริษัทของสหรัฐในจีน

ซึ่งมาตรการที่ระบุข้างต้นเหล่านี้ไม่เพียงสุ่มเสี่ยงที่จะยั่วยุให้ทรัมป์ทำตามคำขู่ที่แข็งกร้าวว่าจะตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนแทบทุกชนิด

แต่ยังจะเป็นการจุดชนวนให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกในด้านชาตินิยมของทั้ง 2 ฝ่าย

นำไปสู่การต่อสู้กันเพื่อครอบครองชัยชนะด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วย

 

“การต่อสู้ของทั้ง 2 ฝ่ายมาถึงจุดที่ไม่อาจย้อนกลับได้อีกแล้ว” พอลลีน หลุง กรรมการผู้จัดการบริษัทวิจัยเอเชีย-อนาลิติกาในฮ่องกงบอก และว่า “สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปอาจไม่ใช่สงครามการค้าเท่าไหร่นัก แต่อาจเป็นสงครามเย็นจากความเย็นชาด้านความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติ”

หุ้นตก เงินดอลลาร์แข็งค่า และราคาโภคภัณฑ์ร่วงลงขณะที่สินทรัพย์ในประเทศเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้รับผลกระทบ

ในขณะที่กำแพงภาษีก่อนหน้านี้คาดว่าจะมีผลกระทบในวงจำกัด แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า สงครามการค้าเต็มรูปแบบจะหยุดยั้งเศรษฐกิจขาขึ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

วันที่ 30 สิงหาคม ที่กำหนดไว้สำหรับการบังคับใช้กำแพงภาษีรอบใหม่ มีนัยต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรสในเดือนพฤศจิกายนแน่นอน ถึงอย่างนั้นก็ตาม ย่างก้าวล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าทรัมป์ที่เคยประกาศเมื่อเดือนมีนาคมว่า “สงครามการค้าดีและง่ายที่จะเอาชนะ” อาจประนีประนอมจากคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่ยอมให้ผู้บริโภคเจ็บปวด

ซึ่งการขึ้นกำแพงภาษีทำให้ราคาสินค้าทุกอย่างตั้งแต่ถุงมือเบสบอลไปจนถึงกระเป๋าถือและกล้องดิจิตอลมีราคาแพงขึ้นในขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกไปลงคะแนนเสียง

สินค้ายอดนิยมเพียงอย่างเดียวที่ได้รับการยกเว้นจากกำแพงภาษีตอนนี้มีแค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น