เปิดใจพ่อบ้านพรรค “ภูมิธรรม เวชยชัย” ในวันสารพัดมรสุมถาโถม ใส่ “เพื่อไทย”

พลังดูดยังไม่หมดไป แล้วพร้อมแค่ไหนในการสู้ ?

นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยอมรับความจริงว่ากรณี “ดูด” นี้เป็นปัญหา แต่ไม่ใช่วิกฤต แล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกท้อถอยหรือหวั่นเกรง เพราะมีบทเรียนให้เห็นอยู่แล้วว่ามีหลายคนที่ออกไปไม่ประสบความสำเร็จ

ที่มีรายชื่อออกมา 50-60 รายชื่อ ก็เป็นสมัยอดีต ส่วนหนึ่งไม่ใช่คนที่พรรคเลือกให้ลงสมัครแล้ว เขาเป็นนักการเมืองสอบตกนานแล้ว

จะมีก็แค่จังหวัดเลยที่เป็นผู้แทนฯ ครั้งล่าสุด

ผมมองว่าที่เขาใช้เกมนี้เพื่อทำให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่ออกแบบ ให้ทุกคะแนนมีความหมายโดยไปเอา ส.ส. ที่สอบตกมา แต่คนเหล่านี้พอมีฐาน ทำให้สามารถสะสมคะแนน จนรวบรวมให้ได้ที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อได้

ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามีความพยายามของผู้มีอำนาจพยายามที่จะดึงนักการเมืองที่มีฐานเสียงเข้ามาสนับสนุนให้ตัวเองกลับเข้ามาสู่อำนาจแบบแน่ชัด

มองๆ ไปก็เกิดคำถามในใจว่า นี่เป็นการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งแล้วหรือ?

การกระทำที่เราเห็นคือการย้อนหลังไปสู่การเมืองแบบน้ำเน่าดั้งเดิม คือการใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่ฝ่ายรัฐมีอยู่

เท่าที่ผมฟังจากนักการเมือง หรือคนที่ถูกเรียกไปพูดด้วยเขาก็มีข้อเสนอเงินให้ ยอดเท่าไหร่ไม่รู้ แต่อาจจะมีการพูดปั่นให้ตัวเองดูมีราคา ให้รู้สึกว่าน่าสนใจ

ต่อมาก็การันตีเรื่องคดีไม่มีปัญหา จะจัดการให้หากอยู่กับฝ่ายนี้ยังไงก็ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน นั่นรวมถึงจะได้ประโยชน์จากการเป็นรัฐบาลด้วย

พร้อมบอกว่าจะมีกระบวนการมาควบคุมดำเนินการฝ่ายตรงข้าม พูดง่ายๆ คือ หากยังไม่อยู่กับฉัน คุณก็จะลำบากยิ่งขึ้น เพราะพรรคเพื่อไทยคือเป้าหมายที่ถูกโฟกัสอยู่ หลายคนก็คิดหนัก

แต่ทั้งหมดทั้งมวล ผมมองว่าปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่าการตัดสินใจ ว่าเขาเหล่านั้นจะเอาผลประโยชน์ของใครเป็นที่ตั้ง

หัวใจสำคัญควรจะอยู่ที่พี่น้องประชาชนใช่หรือไม่ เพราะโอกาสในการเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรได้ ก็เพราะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เขามีความหวังกับเรา เขาหวังกับพรรค

ถ้าตัดสินใจโดยลืมคิดถึงประชาชน คิดแต่ในเรื่องของประโยชน์ตัวเองว่าจะได้อะไร ก็มีบทเรียนอยู่

ส่วนตัวผมมองว่าการเลือกยืนอยู่ข้างประชาชนและจุดยืนประชาธิปไตยมันจะเป็นจุดยืนที่ถาวร และสามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเรายืนอยู่ได้อย่างมั่นคง ในภายภาคหน้าก็จะได้รับโอกาสจากประชาชนอีก

แต่ก็ยังเชื่อว่าทิศทางพลังดูดยังมีต่อเนื่อง ไปจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งการดูดนี้ก็สอดรับกับดีไซน์รัฐธรรมนูญที่ลงโทษผู้ชนะ-ให้โอกาสผู้แพ้

แต่ผมก็ยังเชื่อว่าประชาชนจะให้บทเรียนกับผู้ที่ใช้อำนาจอย่างไม่ยุติธรรม

: คดีความของคนในพรรคยังมีอยู่มากมาย มองว่ายังมีไพ่อีกหลายใบในมือผู้มีอำนาจ?

ก็เป็นไปได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เช่นกรณีที่พวกผมยืนฟังแถลงกัน 3-4 คนในวันที่มีการแถลงข่าว 4 ปี คสช. ของพรรค ซึ่งยืนคนละที่คนละจุด บางท่านยืนอยู่อีกห้องหนึ่งไม่ได้เกี่ยวกับแถลงข่าว บางคนอยู่ด้านหน้าห้อง มี 3 ท่านไปชี้แจงบนเวที

แต่ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาร่วมชุมนุมทางการเมือง

ถ้าเอาบรรทัดฐานแบบนี้มาใช้จะต้องจับคนทั้งตึกทุกห้อง

ผมมองว่าถ้ารัฐบาลมีอำนาจก็ตั้งข้อกล่าวหาไป ส่วนตัวผมเชื่อมั่นว่าพี่น้องประชาชนมีวิจารณญาณ

เขาอาจจะทำให้แกนนำของพรรคต้องติดอยู่ในวังวน มีคดี หรือที่สุดแล้วอาจจะทำให้หมดโอกาสหรือบทบาททางการเมือง

แต่มาถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าสังคมไทยเราการเมืองมันได้พัฒนาเลยไปจากประเด็นเรื่องของตัวบุคคลแล้ว

ผมมองว่าตั้งแต่เราตั้งพรรคมา ตั้งแต่สมัยยุคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย ในหลายๆ พื้นที่ของเรา คนที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งจะเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองที่ช่ำชอง แต่สามารถยืนอยู่ในแนวทางของพรรคได้ ซึ่งประชาชนเขาเชื่อมั่น

ในจุดยืนนี้ก็ล้มช้างมาหลายพื้นที่แล้ว ผมว่าคราวนี้ก็จะได้พิสูจน์กันอีก ถ้าผลพิสูจน์ออกมาชัดเจนก็จะได้เห็นกันเลยว่าเรื่องสำคัญที่สุดคือ จุดยืนและอุดมการณ์ รวมถึงแนวทางในการแก้ปัญหาให้ประชาชนว่าตอบโจทย์และตรงใจชาวบ้านหรือไม่

สภาพเศรษฐกิจในชีวิตชาวบ้านเป็นอย่างไรในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี่จะเป็นตัวชี้ให้เห็นอีกประการหนึ่งด้วย

ผมจึงไม่ห่วงและไม่กังวล ก็อยากให้ใช้อำนาจให้เต็มที่ ให้คนมองพยายามทำทุกอย่างทุกทางให้ตัวเองกลับมาสู่ในอำนาจอีกครั้ง ก็ทำให้มันเห็นชัดๆ กันไปเลย ประชาชนจะได้ตัดสินใจง่ายขึ้นไม่ลำบาก

: ผู้นำพรรคไม่ชัดสักที นี่ถือว่าเป็นอีก 1 ปัญหาของพรรค?

ผมอยากขอบคุณประชาชนที่แสดงความเห็นเข้ามา บางคนมองว่าเราจะมีปัญหาในภายภาคหน้า ว่าไม่มีผู้นำแล้วการนำพรรค พรรคจะไปได้หรือไม่

ผมมองว่าตั้งแต่พรรคไทยรักไทยมาจนถึงปัจจุบันเกือบ 20 ปี เรามีความเป็นสถาบันทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ต้องบอกว่าการเกิดขึ้นและเติบโตของพรรคเพื่อไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเราเกิดมาบนพื้นฐานที่มีบุคลากรคนใหม่ๆ เสมอ

และเราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถึงแม้จะเป็นคนใหม่แต่เรายังมีส่วนผสมของนักการเมืองที่มีประสบการณ์หลากหลายเข้ามาร่วมมือกัน

สิ่งสำคัญที่อยากจะให้มองคือจุดยืนและอุดมการณ์ รวมถึงการรู้จักประสานทรัพยากรที่มีคุณค่าของพรรคเพื่อมาร่วมกันทำงาน

อดีตที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทยรุ่นแรกเรามีผู้สมัครหน้าใหม่ล้วนมากกว่าร้อยคนที่สามารถเอาชนะได้ล้มช้างใหญ่ๆ ในหลายเขตหลายจังหวัดได้

แม้เจ้าของพื้นที่จะมีประสบการณ์ทางการเมือง แต่เขายังมีระบบความคิดแบบเก่าๆ ก็สอบตกไป

มาจนถึงเพื่อไทย เราก็ยังสามารถสร้างปรากฏการณ์แบบนี้ได้อีก อาทิ กรณีของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นคนที่มี “ความคิดใหม่ๆ” ประสานกับระบบของพรรคการเมืองที่มีบุคลากรทรงคุณค่าอยู่ในทุกระดับ สามารถรวมกันเป็นองค์ประกอบช่วยกันนำพาพรรคไปได้

สิ่งหนึ่งที่วันนี้ยังเป็นปัญหาอยู่เพราะว่าระบบการเมืองเขายังไม่เปิดให้เราสามารถทำอะไรได้เลย เรายังไม่สามารถนำเสนอได้ หากทุกอย่างสามารถขับเคลื่อนได้เราจะสามารถสร้างความมั่นใจนำเสนอผู้นำที่ตรงกับสถานการณ์ได้ แต่ก็ยืนยันว่าปัจจุบันพรรคเพื่อไทยเป็นการนำแบบรวมกลุ่มที่มีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยกันทำงาน

แม้ว่าในอดีตเราอาจจะถูกจำกัดและถูกทำลายตัวผู้นำไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าเราก็ยังอยู่รอดมาได้มีผู้นำรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยภายใต้การดูแลและโอบอุ้มของพี่น้องประชาชนจะไม่มีอะไรเข้ามาเป็นข้อจำกัดได้

: การตกเป็นเป้าถูกโจมตี ถูกทำลาย ถูกทำให้เล็กลง ถูกทำให้โดดเดี่ยว

มันเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราต้องยืนหยัดและยึดมั่นในอุดมการณ์ในสิ่งที่เราเห็นว่าควรยึดมั่น

เช่น เราประกาศตัวมาตลอดอย่างชัดเจนว่าเราไม่เอาเผด็จการ เราไม่เอาเรื่องของการสืบทอดอำนาจ และเราคิดทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในสังคมที่ฝ่ายมีอำนาจพยายามที่จะสถาปนาตัวเองให้แข็งแรง ย่อมมีอะไรที่ขัดแย้งแตกต่าง

แต่ถามว่ามันจะเป็นวิกฤตของเราหรือไม่?

ผมไม่คิดว่าเป็นวิกฤต มันเป็นแค่ปัญหา ซึ่งปัญหาเหล่านั้นจะต้องฝ่าฟันไปให้ได้

ถ้าลำพังปัญหาแค่นี้เรายังแก้ไม่ได้ นับประสาอะไรเราจะไปแก้ปัญหาให้ประชาชนหรือทำเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ให้ประชาชนได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีความกังวลใจใดๆ

ที่ผ่านมาฝ่ายผู้มีอำนาจที่ต้องการจะรักษาอำนาจของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะเห็นว่ากระบวนการที่ตัวเองจะได้เปรียบและได้ประโยชน์ สิ่งเหล่านี้เองมันทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นจากในและนอกประเทศ ผมจึงไม่เห็นประโยชน์ของการเรียกไปหารือเลย เขาเองพยายามที่จะทำให้เกิดภาพว่าพยายามรับฟังทุกฝ่าย

แต่ความเป็นจริงคือผลของการตัดสินใจก็ยังอยู่ที่ผู้มีอำนาจที่ผ่านมามีแต่ความไม่ชัดเจนทุกคราว เราจึงไม่ทำตัวให้เกิดเงื่อนไข

เราบอกเสมอว่าพร้อมรับทุกอย่างทุกสถานการณ์ ขอแต่เพียงท่านตัดสินใจมา ถ้าท่านทำหรือตัดสินใจอะไรไม่ดีประชาชนทั้งประเทศเขาจะเห็น เขาก็จะรู้ว่าท่านกำลังเอาเปรียบ หรือถ้าท่านตัดสินใจเอื้อให้กับพรรคการเมืองใดหรือบางส่วนที่ท่านอาจอยากจะสร้างขึ้น คนเขาก็จะเห็น

ฉะนั้น อยากให้ท่านทำตามที่สบายใจ ถ้าสิ่งที่ทำมันเป็นเหตุเป็นผล คนเขาก็ตอบรับสนับสนุน แต่ถ้าทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมประชาชนเขาจะเห็น และเมื่อวันที่เขาได้อำนาจในการตัดสินใจ เขาจะเป็นคนตัดสินตัวท่านทั้งหลายรวมทั้งนักการเมือง พรรคการเมืองทุกคนทุกพรรคและผู้มีอำนาจในปัจจุบัน