วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร/เหตุไฉน ต้องเป็น จิวแป๊ะทง (147)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย / เสถียร จันทิมาธร

 

เหตุไฉน ต้องเป็น จิวแป๊ะทง (147)

 

ไม่ว่าอิดเอ็งไต้ซือขอร้อง ไม่ว่าก๊วยเซียงวอนขอให้อภัย แต่ยากเป็นอย่างยิ่งที่เอ็งโกวซึ่งมากด้วยความแค้นที่หลวงจีนชื้ออึงครั้งยังเป็นฮิ้วโชยยิ้มเคยก่อกรรมทำเข็ญกับบุตรน้อยของนาง

จำเป็นที่เอี้ยก่วยจะยื่นมือเข้าไป

“เอ็งโกวผู้อาวุโส ข้าพเจ้าไม่ใคร่เข้าใจบุญคุณความแค้นในระหว่างพวกท่าน แต่ถ้อยคำและการกระทำของผู้อาวุโสออกจะเด็ดขาดเกินไป เอี้ยก่วยด้อยความสามารถแต่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครา”

เอ็งโกวเหลียวหน้ามองอย่างงุนงง

นางฟาดใส่เอี้ยก่วย 3 ฝ่ามือล้วนล้มเหลว ทั้งได้ยินเสียงกู่ของเอี้ยก่วยทราบว่าความสูงส่งของพลังฝีมือคนผู้นี้สุดที่นางจะเห็นหลังได้

คิดไม่ถึงในช่วงเวลาเช่นนี้เอี้ยก่วยเสนอหน้าออกข่มขู่คุกคามอีก

เมื่อทบทวนอดีต นึกถึงอนาคต ต้องบังเกิดความหดหู่จู่โจมจับใจ กระแทกนั่งลงกับพื้นเปล่งเสียงร่ำไห้ออกมา

การร่ำไห้ครั้งนี้มิเพียงสร้างความพิศวงสงสัยแก่เอี้ยก่วยและก๊วยเซียง

แม้แต่อิดเอ็งไต้ซือซึ่งเคยมีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นแต่ครั้งยังเป็นฆราวาสก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย

“พวกท่านต้องการพบเราใช้ไม้นวมไม่สำเร็จก็เปลี่ยนเป็นใช้ไม้แข็ง แต่คนผู้นี้ไม่ยอมพบเรา พวกท่านกลับไม่สนใจไยดี”

นี่คือประเด็น “ใหม่” อันเสนอเข้ามา

 

เมื่อได้ยินนางรำพันตามมา “พวกเจ้ารู้จักข่มเหงรังแกเราที่เป็นสตรีเพศ พอเผชิญกับชนชั้นอันร้ายกาจที่แท้จริง พวกเจ้าไหนเลยกล้าตอแยเขาโดยง่ายดาย”

“เขา” คนนั้นยังไม่ “แจ้ง” สำหรับรุ่นเยาว์อย่างก๊วยเซียง หรือแม้แต่เอี้ยก่วย

แต่เมื่อเนื้อความนี้ปรากฏ “ขอเพียงพวกเจ้าตามตัวเขามาพบกับเรา สนทนากับเราด้วยดี อย่างนั้นต้องการจิ้งจอกวิเศษเก้าหางก็ดี ให้เราคลี่คลายกับฮิ้วโชยยิ้มโดยสันติก็ดี เราล้วนคล้อยตามทุกประการ”

กระนั้น กล่าวสำหรับอิดเอ็งไต้ซือกลับ “รู้”

“นางหมายถึงเฒ่าทารก จิวแป๊ะทง จิวซือเฮีย”

เพราะเมื่อนางรำพึงถึง “เขา” ใบหน้าของนางคล้ายเคลือบคลุมด้วยสีแดงระเรื่อชั้นหนึ่ง สะท้อนความเอียงอาย

แม้เอี้ยก่วยจะยินดีและพร้อมติดตามถามหาจิวแป๊ะทง แต่ข้อสังเกตของนางก็ละเอียดอ่อน

“ชื่อของเราเรียกว่าเอ็งโกว เจ้าต้องบอกกล่าวกับเขาล่วงหน้าค่อยมาพบกับเรา ไม่เช่นนั้นเขาพอพบหน้าเราก็หลบหนี อย่างนั้นจะตามหาเขาไม่พบอีก ขอเพียงเขายินยอมมา เราล้วนปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้า”

ก็เริ่มสัมผัสได้ถึง “ปัญหา” อันค้างคามาแต่ “อดีต”

 

ความซับซ้อนของปัญหาน่าจะรุนแรงเพราะเอ็งโกวมิใช่ไม่รู้ว่าจิวแป๊ะทงพำนักอยู่หุบเขาร้อยบุปผา (แป๊ะฮวยก๊ก) ห่างจากบึงที่พำนักของนาง 100 กว่าลี้

แสดงว่าแม้จะผูกพันแต่ไม่สามารถต่อได้ “ติด”

ขณะเดียวกัน เมื่อทราบว่าจิวแป๊ะทง “เร้นกายอยู่ภายใน เพาะเลี้ยงผึ้งหาความบันเทิง” ก็หวนนึกถึงเซียวเล้งนึ่ง

แม้จะต้องการไปแต่เพียงผู้เดียว แต่ก๊วยเซียงก็แจ้งเจตจำนงจะตามไป

โดยสารไปบนหลังของพี่อินทรี เหาะเหินกลางเวหา รวดเร็วประดุจม้าป่า ต้นไม้ 2 ฟากข้างถดถอยไปด้านหลังโดยไม่หยุดยั้ง เอี้ยก่วยปล่อยให้แขนเสื้อโชยพัดพลิ้ว บางคราชี้ชวนให้ก๊วยเซียงชมดูทิวทัศน์ขุนเขา

ไม่ถึงยามเที่ยง อินทรีเร่งรุดเป็นระยะทาง 100 กว่าลี้ ลดเลี้ยวมุมเขา 2 แห่งพลันรู้สึกกระจ่างที่เบื้องหน้าสายตา เห็นหุบเขาเขียวชอุ่มสดใส

แต่งแต้ง ด้วยดอกไม้สด บ้างแดง บ้างม่วง บ้างเหลือง บ้างขาว ละลานตา

เอี้ยก่วย ก๊วยเซียง ลงจากหลังพี่อินทรี เดินเลี้ยวโค้งหลายคราเห็น 2 ฟากข้างเป็นผนังผาตั้งตระหง่าน สนใหญ่ 3 ต้นสูงเสียดฟ้า บดบังอยู่ระหว่างผนังผากลายเป็นประตูตามธรรมชาติ 2 บาน ที่ข้างหูได้ยินเสียงอึงอล ผึ้งหยกจำนวนมากมายสุดคณานับบินเข้าบินออกระหว่างต้นสน

เอี้ยก่วยกล่าวเสียงกังวาน “เฒ่าทารก ผู้น้องเอี้ยก่วย นำสหายน้อยมาเล่นกับท่านแล้ว”

 

การพบกันอีกหนระหว่างจิวแป๊ะทงกับเอี้ยก่วยเหมือนกับไม่มีปัญหา แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยเงื่อนงำที่ยากจะอธิบาย

เสียงร้องพอขาดหาย ในดงสนปรากฏคนผู้หนึ่งมุดปราดออกมา

10 กว่าปีก่อนเมื่อแรกพบ จิวแป๊ะทงมีผมเผ้า คิ้วเคราดังไหมเงิน มิคาดตอนนี้มิเพียงรูปโฉมไม่แปรเปลี่ยน หากหนวดเครา ขนคิ้ว กลับกึ่งดำกึ่งขาว แสดงว่าเป็นหนุ่มกว่าเดิม

การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเป็นเรื่องดีแต่ก็ไม่แน่ว่าการเจรจาจะดำเนินไปด้วยความราบรื่น เรื่องนี้เอี้ยก่วยยังมองไม่ออก แต่อิดเอ็งไต้ซือรู้ แต่เอ็งโกวรู้ มิเช่นนั้นทุกอย่างคงไม่ตกมาอยู่ในมือของเอี้ยก่วย