นงนุช สิงหเดชะ : “เข้าใจ-รู้จัก” จีนผ่านหนังสือ “สี จิ้น ผิง”

ปฏิเสธไม่ได้ว่านับวันจีนจะมีความสำคัญในเวทีโลกมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยจนถึงขณะนี้ก็เรียกได้ว่ามีลักษณะ 2 ใหญ่ คือมีประชากรมากที่สุดในโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็มีโอกาสที่ในอนาคตขนาดเศรษฐกิจจะขึ้นแซงอเมริกา

ลองนึกภาพว่าหากจีนสามารถทำให้ประชากรประมาณแค่เพียง 500 ล้านคนจาก 1,300 กว่าล้านคน ให้กลายเป็นกลุ่มคนชั้นกลางไปจนถึงรวย อำนาจซื้อของพวกเขาจะมากแค่ไหนสำหรับประเทศเดียวเดี่ยวๆ เพราะนั่นเท่ากับประชากรของสหภาพยุโรปรวมกันหรือเกือบเท่าอาเซียนรวมกัน

หรือลองจินตนาการว่าหากคนจีน 500 ล้านคนมีรายได้มากพอที่จะออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะได้รับอานิสงส์แค่ไหน ซึ่งจนถึงปัจจุบันคนจีนออกเที่ยวต่างประเทศ 130 กว่าล้านคนเข้าไปแล้ว ใช้จ่ายเงินกว่า 1.04 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

การผงาดขึ้นของจีน ได้รับความสนใจมาตลอดและน่าศึกษา เพราะเป็นประเทศที่ปกครองแบบสังคมนิยม

พูดให้ตรงก็คือไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย แต่ทว่า กลับสามารถพัฒนาประเทศให้เติบโตทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้หรือบางทีก็ดีกว่าประเทศประชาธิปไตย

ซึ่งหากยึดถือกันตามทฤษฎีก็น่าจะเป็นไปได้ยากที่ประเทศซึ่งไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจะสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ทันสมัยอย่างรวดเร็ว (อย่างน้อยก็ในเชิงกายภาพได้)

จะต้องมีหลักการ-แนวคิดใหญ่ๆ บางอย่างอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของจีน ซึ่งถูกยึดถือและสืบทอดกันมาอย่างมั่นคงไม่ขาดสายของคณะผู้ปกครองแต่ละรุ่น

 

หากอยากเข้าใจจีน รู้จักจีน ว่าบริหารประเทศซึ่งใหญ่ทั้งขนาดพื้นที่และประชากรให้รุดหน้าไปได้อย่างไร หนังสือ “สี จิ้น ผิง ยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ” คือหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่จะให้คำตอบได้ดี

เพราะนี่คือหนังสือรวบรวมสุนทรพจน์ของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ในโอกาสต่างๆ อันสะท้อนแนวคิดและวิสัยทัศน์ของผู้นำคนปัจจุบันของจีนได้ครบถ้วน

หนังสือเล่มนี้ถูกแปลไปแล้วกว่า 10 ภาษาทั่วโลก มียอดจำหน่ายเกิน 4 ล้านเล่ม ทำสถิติสูงสุดในบรรดาหนังสือที่เขียนโดยผู้นำจีน

ในส่วนของภาษาไทย สำนักพิมพ์มติชนเป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการแปลแต่เพียงรายเดียว ซึ่งพร้อมจะวางจำหน่ายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม เป็นต้นไป

ชื่อภาษาอังกฤษของหนังสือเล่มนี้คือ XI Jinping : The Governance of China เปิดตัวในต่างประเทศมาแล้วและสร้างความฮือฮาพอสมควรในคราวไปเปิดตัวในงานนิทรรศการหนังสือ BookExpo America ที่อเมริกา ปีที่แล้ว ถือเป็นหนังสือเด่นในงาน มีบุคคลสำคัญหลายคนมาร่วมงาน รวมทั้ง เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับจีน (เมื่อปี 1979) ได้ส่งสารมาแสดงความยินดีด้วย

บุคคลสำคัญระดับโลกหลายคนต่างกล่าวถึงหนังสือเล่มนี้เช่นกัน อาทิ เควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย บอกว่าหนังสือดังกล่าวควรเผยแพร่ให้เป็นที่รับรู้ในประชาคมระหว่างประเทศ

แม้จะเป็นหนังสือรวบรวมสุนทรพจน์ ฟังดูคล้ายจะน่าเบื่อ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะด้วยภาษาที่คมคาย แฝงปรัชญาและแง่คิดลึกซึ้งตามแบบฉบับภูมิปัญญาตะวันออกที่มีอารยธรรมเก่าแก่หลายพันปี ก็อ่านได้เพลินพอสมควร

เสมือนผู้เขียนเล่าเรื่องให้ฟังอย่างเป็นกันเอง

แม้ไม่ใช่ผู้สนใจการเมืองระหว่างประเทศโดยตรงก็สามารถนำแง่คิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเองและองค์กรได้

 

อย่างเช่นหัวข้อ “ปกครองประเทศใหญ่เหมือนปรุงอาหารจานเล็ก” ซึ่ง สี จิ้น ผิง กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ผู้นำประเทศต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้พบ มักกล่าวด้วยความแปลกใจว่าจีนใหญ่โตอย่างนี้ปกครองอย่างไร

ข้าพเจ้าพูดเสมอว่า การจะเข้าใจจีนต้องทุ่มเทไม่น้อย จีนมีพื้นที่ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร มี 56 ชนชาติ มีประชากร 1,300 ล้านคน

การจะเข้าใจจีนต้องอย่าให้เป็นแบบตาบอดคลำช้าง คำโบราณจีนกล่าวไว้ว่า อำมาตย์เกิดมาจากหัวหมู่ ขุนพลโตมาจากพลทหาร ระบบการคัดเลือกเจ้าหน้าที่ของเราตอนนี้ก็เป็นขั้นๆ แบบนี้เหมือนกัน

เช่นตัวข้าพเจ้าเคยทำงานในชนบท เคยผ่านงานตั้งแต่ระดับอำเภอ เมือง มณฑล จนกระทั่งถึงส่วนกลาง เมื่อเจ้าหน้าที่มีประสบการณ์พรั่งพร้อมในชั้นฐานราก ก็ยิ่งสามารถเข้าใจความปรารถนาของมวลชนได้ดี รู้สภาวะของประเทศ รู้ความต้องการประชาชน…

ประเทศของเรามีขนาดใหญ่ขนาดนี้ ประชาชนมากขนาดนี้ ซับซ้อนขนาดนี้ ผู้นำย่อมต้องลงลึกไปเข้าใจสภาพประเทศและความต้องการของประชาชน ต้องมีความระมัดระวังและต้องใช้ท่าที

“ปกครองประเทศใหญ่เหมือนปรุงอาหารจานเล็ก”

 

หรือในหัวข้อ “ปล่อยให้ความฝันของวัยหนุ่มสาวได้โบยบินอย่างเสรีไปพร้อมกับการสานความฝันจีน”

ในที่นี้ผู้นำจีนฝากความหวังไว้กับเยาวชนจีน กระตุ้นให้เยาวชนมีความเชื่อแน่วแน่ว่า ผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่เกิดจากปณิธานอันแรงกล้า กิจอันยิ่งใหญ่สำเร็จด้วยความมานะพยายาม เยาวชนต้องติดอาวุธทางปัญญาด้วยทฤษฎี เติ้ง เสี่ยว ผิง มีทัศนคติการพัฒนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สร้างอุดมการณ์ความเชื่อบนพื้นฐานของทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์

มีข้อสังเกตประการหนึ่งว่าสิ่งที่ สี จิ้น ผิง เน้นย้ำบ่อยๆ คือ การพัฒนาจีนไปสู่ความทันสมัย โดยตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงและเป็นวิทยาศาสตร์ พูดเรื่องการมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง การปฏิรูปอย่างไม่สิ้นสุด

 

สําหรับผู้สนใจเรื่องที่อยู่ในกระแสร้อนๆ อย่างการจัดวางท่าทีความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา หนังสือเล่มนี้บอกว่าทั้งจีนและอเมริกาจะจัดวางความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ เดินไปบนเส้นทางใหม่ ไม่สร้างความขัดแย้งและต่อต้านกันเหมือนในอดีต

ส่วนผู้สนใจประเด็นเชิงเศรษฐกิจโดยเฉพาะเส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเล สี จิ้น ผิง ก็ได้กล่าวถึงด้วย

กล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะได้ทราบวิสัยทัศน์ทุกมิติของผู้นำจีนทั้งมิติภายในและมิติระหว่างประเทศในภาพกว้างครอบคลุมค่อนข้างมาก

ที่สำคัญกว่านั้นมีภาพของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ที่หาดูได้ยาก

เช่น ภาพเดินเล่นกับคุณพ่อคุณแม่

ภาพพาลูกสาวขี่จักรยานเล่น ภาพการออกเยี่ยมประชาชนในพื้นที่กันดารและรับฟังความคิดเห็น

ภาพ สี จิ้น ผิง สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

หรือภาพหนุ่มปักกิ่งอย่างเขาที่ต้องแบกจอบไปทำไร่ไถนาในชนบทเพื่อเรียนรู้ประชาชน-ประเทศจากระดับฐานราก