การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ นั่นคือสิ่งที่ฉันสอนให้…

มีแสงตะวันลอดส่องเข้ามา ผ่านช่องรูของฝาไม้ และแยงชอนไปถึงฝาอีกฟากหนึ่ง ก่อเป็นประกายวับๆ ดูงามจับตา

ฉันเพียงนอนลืมตา จ้องมองแสงแดดที่เคลื่อนเข้ามาในห้อง จากช่องและรูเล็กๆ จำนวนมากมาย แล้วค่อยๆ ทำให้ห้องสว่างไสวขึ้นตามลำดับ

แต่เราก็ยังหับประตูอยู่

ฉันรู้…ว่าพ่อแม่จะไม่มาเรียกหา เช่นเดียวกับรู้ว่า เมื่อยายรอยไม่อยู่จะไม่มีใครสนใจเรา กลางลานข่วงก็ยังเงียบสงัดงัน คนอื่นๆ อาจจะลุกไปทำหน้าที่การงานกันแล้ว แต่นั่นแหละ ทำให้ทุกคนหลงลืมเราทั้งคู่ไป

ดี

นี่คือสิ่งที่ฉันชอบ

มันคือช่วงเวลาที่ดี ที่จะได้มอบประสบการณ์ให้กับน้องสาวของรอยอีก

 

ปิมปายังคงนอนขดตัวงออยู่ มีเพียงลมหายใจผะแผ่ว จึงไม่ยากเลยกับการพลิกตัวไปหา ยกมือลูบไรผมข้างแก้ม แล้วค่อยไล้ปลายนิ้วลงมา

ลงมาเรื่อยๆ

จนกระทั่งสอดกลับเข้าไปใต้ผ้า

เด็กหญิงขยับตัวเบาๆ แต่หัวยังหนุนแนบหมอน และราวว่ากำลังตกในห้วงฝัน

[ฉันจะทำให้เธอตื่น

เด็กดี

บทเพลงที่กำลังคลอจังหวะขึ้นนี้

จะทำให้เธอฝัน

ท่ามกลางแสงตะวัน

อุ่นไอ

ฉันจะทำให้เธอหลับ

จงหลับใหล

นิ่งสนิทลึกเข้าไป

สุดทาง

สู่โลกมืดดำแสนกว้าง

ของฉัน

ฉันจะทำให้เธอสะดุ้ง

เตลิดพลัน

แล้วจะได้เรียกปลอบขวัญ

กลับมา

ฉันจะทรมานเธอ

ให้คลุ้มคลั่ง

จนกระทั่งเธอ

ถะถั่ง

เบื้องหน้า

ฉันจะครอบครองเธอ

ทั้งหมด

จะเป็นผู้ตั้งกฎ

ประทับตรา…]

 

พร้อมกับมือที่ยังล้วงลึกเข้าไป ปากจมูกของฉันก็ค่อยๆ เคลียไล้ ขบกัดเบาๆ ที่ใบหู ข้างแก้ม ระเรื่อยลงมาถึงซอกคอ และเนินบ่า

สูดเอากลิ่นดีๆ เข้าไป รู้สึกดีไม่น้อย ที่ได้กลิ่นหอมของแป้งยังติดอยู่

เด็กผมขอดสะดุ้ง อาจเพราะการกดน้ำหนักปลายนิ้วลงไป และค่อยๆ มอบบางจังหวะให้ เหมือนการร่ายระบำของแมลงสักตัวหนึ่ง ในซอกกลีบดอกไม้

 

แต่ตัวฉันไม่หลับตา ในห้วงเวลาเหล่านั้น เพราะต้องการจะมองดูใบหน้าที่แสดงความรวดร้าวออกมา แม้ในขณะร่างขาวยังคงจมดิ่งในห้วงกาล

การเห็นร่างสะเทือนไหว…คล้ายจะรู้ตัว แต่ก็ไม่

ฉันพบว่าตัวเองพอใจ และอยากให้น้องสาวของรอยรู้สึกมากกว่านั้นอีก

แต่กระนั้นก็ตาม ฉับพลัน ตาสีลูกหว้าก็เบิกเปิดขึ้น พลางเกือบจะหอบหายใจเมื่อถาม

“…พะ…พี่คะ…พี่ทำอะไร”

“เปล่านี่” ฉันกระซิบกลับ

“…พี่ทำ”

มีความเครียดเกร็งเกิดขึ้นที่ต้นขา ฉันรู้ดีจากสัมผัสที่ส่งถึง

ปั่นป่วนใช่ไหม

ไม่ชอบ หรือไม่ใช่

“พี่ไม่ได้ทำอะไรเลย”

ใช่ ฉันแทบไม่ต้องทำอะไรอีก แค่แช่ปลายนิ้วไว้เพียงนิ่งๆ เด็กหญิงเองต่างหากที่พยายามขยับตัวขึ้นเสาะหา

แล้วก็ได้รู้ว่า นั่นได้ผลมากพอ

 

“พี่…ไม่เอาค่ะ สายแล้ว!”

เสียงครางแผ่วเบาออกจากลำคอ แต่ขัดแย้งกันกับความโหยหาของร่างกาย ฉันชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนการได้ค้นพบว่า จากนี้ไป อะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรา

ไม่ให้ต่อรองอะไรอีก ฉันผุดลุกขึ้น…เหมือนครั้งหนึ่ง ที่นังปีศาจร้ายอัมพรเคยสอนบทเรียนให้ฉัน

หล่อนจงใจใช้มัน

คมบาดเหล่านั้น

ที่ยังคงฝังลึกแม้ในขณะนี้

 

ญาติผู้น้องของฉัน ใบหน้าเหยเกอยู่ในแสงตะวันที่สาดพร่างเข้ามาเต็มห้อง เส้นผมหยิกขอดดูเรืองรองจนแทบจะเป็นสีทอง ทรวงอกเล็กๆ แอ่นชันเข้าเบียดใบหน้า ไม่รอช้า ฉันเพียงแต่ดูดดื่มมัน

มีแสงแดดเกลื่อนกล่นมากมายที่ข้างนอก ฉันรู้ดี หลังฝนที่ตกกระหน่ำเมื่อคืนนี้ และแดดกำลังลามเลียผิวดินอย่างหิวกระหาย มวลหมู่ใบไม้คงมีทั้งที่ยังเปียกปอน และเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทุกขณะ

ฉันจะไม่มีทางปล่อยเธอไป

จนกว่าเธอหรือฉัน จะได้ในสิ่งที่เราต้องการ

นั่นคือความทรมานของเธอ

และความสำเร็จของฉัน

ความทรมานของเธอ

สิ่งเดียวกับความหฤหรรษ์…

 

เด็กผมขอดแทบจะกรีดร้องอยู่เร่าๆ เด็กหญิงฟุบหน้าลงไปกับหมอน ก่อนจะนอนลงอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง แต่ฉันยังคงแสดงบทบาทต่อไป

ไม่มีอะไรยากเลย กับการทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพอใจ และฉันคิดไว้แล้ว ไม่อาจให้เสียงเล็ดลอดออกไปได้ จึงปิดปากเธอไว้อีกอย่างกับชายผ้าห่มหนาๆ

โดยทุรนและกระเสือกกระสนเจียนคลั่งบ้า เพียงครั้งแรกของการร่วมสะลี ฉันก็ใช้ทุกประสบการณ์ที่ได้รับมา

มอบมันให้เด็กผมขอด จนกระทั่งรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า

เด็กหญิงกำลังจะผ่านเข้าไป

เข้าไปอีก

สู่พรมแดนที่เพิ่งเคยรู้จัก

และฉันเองที่ชักจูงเธอเข้าไป

เข้าไป

จนกว่าจะแตกสลายอยู่ในนั้น

[คร่ำครวญออกมาสิ

เด็กน้อยของฉัน

ระเบิดมันออกมา

ทั้งน้ำตาและที่อึดอัดข้างใน

ปล่อยมันหลั่งไหล

เหมือนสายฝนที่ตกกระหน่ำก่อนหน้า

ฉันจะดูดซับรับกิน

จนเหือดสิ้น

เสมือนว่า

ชุ่มฉ่ำเนืองนองของเธอ

เสมอน้ำทิพย์แห่งการเยียวยา

พรั่งพรูออกมาสิ เด็กน้อย

ฉันกำลังรอคอยจะเกลือกหน้า

สิกลั่นมันออกมา

และจงส่งเสียงราวว่า

จะแตกสลาย…]

ฉันโอบรัดเอาร่างที่สั่นเทาสุดชีวิตเอาไว้ เด็กผมขอดตะเกียกตะกายอยู่ในอ้อมแขนที่ปราศจากความรัก นั่นคือสิ่งที่ฉันสอนให้น้องสาวของรอยรู้จัก แต่ไม่เคยบอกข้อเท็จจริงกับเธอ