ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
ถนนการเมือง
เสนอ 2 ทางเลือกสำคัญ
เอา ไม่เอา คสช.
ต้องยอมรับว่า ท่าทีไม่ว่าจะมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะมาจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อพรรคพลังประชารัฐมีความแจ่มชัด
เป็นท่าทีอย่างที่บางสื่อสรุปว่า “ปกป้อง”
นั่นก็คือ ปกป้องจากข้อร้องเรียนต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า การเคลื่อนไหวของนักการเมืองในกลุ่ม “สามมิตร” โดยโยงไปสัมพันธ์กับพรรคพลังประชารัฐนั้นอาจมีความผิด
1 รัฐธรรมนูญ มาตรา 169(4)และ 1 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 30 และมาตรา 31
ไม่ว่าอาการปกป้องอย่างที่บางสื่อสรุปออกมาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้สร้างความแจ่มชัดและอาจกลายเป็น “เส้นแบ่ง” ในทางการเมืองในกาลข้างหน้าต่อไป
เท่ากับค้ำประกันถึงสิทธิอันนักการเมืองใน “กลุ่มสามมิตร” สามารถทำได้ เท่ากับค้ำประกันถึงกระบวนการสร้าง “พรรคพลังประชารัฐ” ว่าถูกต้องชอบธรรม เปี่ยมด้วยหลักแห่งธรรมาภิบาล เดินตามแนวทางการเมืองใหม่ในยุคแห่งการปฏิรูปครบถ้วน สมบูรณ์
“เส้นแบ่ง” นี้ทรงความหมายยิ่งในทางการเมือง
กำหนดสัมพันธ์
ภายในพรรค คสช.
ต้องยอมรับว่านับแต่เปิดให้มีการจดแจ้งพรรคการเมืองในเดือนเมษายนเป็นต้นมา ก็เริ่มมีความแจ่มชัดในแนวทางและเส้นทางการเมืองของหลายพรรค
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคที่เห็นด้วยกับแนวทางของ “คสช.”
พรรคเหล่านี้ไม่เพียงแต่เห็นชอบด้วยกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หากแต่ยังเห็นชอบด้วยทุกประกาศและคำสั่งของ คสช. อันออกตั้งแต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
และที่สำคัญที่สุดก็คือ สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ
ประชาชนจึงเห็นท่าทีอันเด่นชัดจากพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคทางเลือกใหม่ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ประชาชนก็มองเห็นเช่นเดียวกันว่ามีพรรคการเมืองบางพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติ แสดงท่าทีออกมาอย่างเด่นชัดในลักษณะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับพรรคที่ระบุนามมาแล้วข้างต้น
นั่นก็คือ 1 มีพรรคที่เห็นด้วยกับ คสช. ต้องการสืบทอดอำนาจ คสช. นั่นก็คือ มีพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับ คสช. ไม่เห็นด้วยกับการสืบทอดอำนาจ คสช.
2 ทิศทาง 2 แนวทาง
เสนอต่อประชาชน
ยิ่งโรดแม็ป “การเลือกตั้ง” เคลื่อนเข้ามาใกล้มากเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นภายในเดือนกุมภาพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นภายในเดือนพฤษภาคม 2562 การเคลื่อนไหวของแต่ละพรรคการเมืองจะสะท้อนถึง 2 ทิศทาง 2 แนวทางอย่างแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น
เหมือนกับพรรคพลังประชารัฐสร้างความแตกต่างกับพรรคเพื่อไทย เหมือนกับพรรครวมพลังประชาชาติไทยสร้างความแตกต่างกับพรรคอนาคตใหม่
เหมือนกับพรรครวมพลังชาติไทยสร้างความแตกต่างกับพรรคประชาชาติ
ในท่ามกลางการเคลื่อนไหว 2 ทิศทาง 2 แนวทางในทางการเมืองเช่นนี้ จะก่อให้เกิดกระแสและความโน้มเอียงทางการเมืองเกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไปในสังคมเด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก่อให้เกิดกับพรรคพลังประชารัฐ
กระแสและความโน้มเอียงอันเป็นความแตกต่างระหว่างฝ่ายของ คสช. กับฝ่ายที่มิใช่ คสช. นี้เองที่จะนำไปสู่การดูดดึงและผลักตัวในทางความคิด
บรรดาพรรคที่ยังไม่มีความแจ่มชัดก็จะต้องติดตามและเฝ้ามอง
เป็นการเฝ้ามองเพื่อที่จะเลือกและตัดสินใจว่าจะก้าวไปในเส้นทางเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ หรือว่าจะก้าวไปในเส้นทางเดียวกับพรรคเพื่อไทย
อุณหภูมิจากความต้องการของประชาชนนั่นแหละจะช่วยให้มีการตัดสินใจ “เลือก”
จะเอากับ คสช.
หรือไม่เอา คสช.
สถานการณ์และข้อกำหนดอันมาจาก คสช. นั่นเองจะเป็นเครื่องช่วยให้ประชาชนจำเป็นต้องเลือก จำเป็นต้องตัดสินใจ
เป็น 2 แนวทางที่จะต้องตัดสินใจผ่าน “การเลือกตั้ง”
หากผลการเลือกตั้งออกไปในทิศทางใด นั่นเท่ากับสะท้อนเจตจำนงและจะกลายเป็นอาณัติอันทรงความหมายให้กับแต่ละพรรคการเมือง
หากประชาชนเลือกพรรคในแนวทาง คสช. ก็เท่ากับให้การรับรอง คสช.
หากประชาชนไม่เลือกพรรคในแนวทาง คสช. ก็เท่ากับไม่ได้ให้การรับรองและมีความหมายตรงตัวว่าเป็นการปฏิเสธ คสช.
ต้องยอมรับว่าทุกกระบวนการอันมาจาก คสช. ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อระดมคนและสร้างพรรคไปตามแนวทางของ คสช. นั่นแหละมีส่วนอย่างสำคัญทำให้ประชาชนได้เห็น ได้รับรู้และใช้วิจารณญาณในการเลือก
เป็นการให้คำตอบว่า 4 ปีที่ผ่านมา คสช.ประสบความสำเร็จ หรือว่าล้มเหลว