วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ พบต่างภพ

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

 

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

พบต่างภพ

 

กลับถึงบ้าน ด้วยความเพลียและรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย จงจิตจึงยังไม่จัดข้าวของที่ซื้อมาอย่างใดทั้งสิ้น อาบน้ำเสร็จ นอนอ่านหนังสือได้สักสองสามหน้าแล้วหลับไปพักใหญ่

ตื่นขึ้นมาเมื่อเวลา 16.00 น. จงจิตจึงจัดแยกของฝากเข้าที่เข้าทางเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางกลับ ตั้งใจว่าจะแวะพักที่บ้านพี่สมพงศ์สักคืนหนึ่ง เอาของให้พี่นวล เมียพี่สมพงศ์ รุ่งขึ้นจึงจับรถเข้าด่านอุดม

หลังลูบหน้าลูบตา แต่งตัวเสร็จ เธอบอกกับแม่ว่าจะออกไปธุระข้างนอกสักสองชั่วโมง คงกลับมาทันกินข้าวเย็นกับแม่ได้

พร้อมถุงใส่กล่องคุกกี้ เธอเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่วัด

“พระปานอยู่กุฏิไหนคะท่าน” จงจิตยกมือไหว้ ถามเสียงอ่อนหวาน เมื่อเดินเคอะเขินเข้าไปในบริเวณวัด เป็นเพราะเธอไม่เคยเข้าวัดนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าทางไหนไปทางไหน โชคดีที่พบพระรูปหนึ่งที่ยืนตรงหน้าพอดี

“พระที่เพิ่งบวชใหม่นั่นใช่ไหม โยม” พระรูปนั้นทำสีหน้าสงสัย ถามกลับ

“ค่ะ – ค่ะ ที่เพิ่งบวชเมื่อเดือนก่อนแหละค่ะ”

พอดีกับหลังจากพระปานบวช ยังไม่มีใครมาบวชเพิ่ม พระใหม่ที่จงจิตว่าจึงมีเพียงรูปเดียว “อ้อ…เดี๋ยวโยมเดินไปทางนี้ เลี้ยวซ้ายนิดหนึ่ง แล้วถามพระที่นั่น ท่านอยู่คณะนั้นแหละ”

จงจิตกล่าวขอบคุณ ยกมือที่หิ้วถุงคุกกี้พนมไหว้อ่อนน้อม แล้วเดินไปตามทางที่พระรูปนั้นชี้ จากตรงนั้น เสียงค่อยเงียบลงหน่อย รู้สึกอากาศโปร่งกว่าข้างนอก ต้นไม้ใหญ่ริมทางเดินใบเขียวครึ้มเรียงราย คงเป็นวัดเก่าพอสมควร จงจิตคิดขณะเดินมองไปทางโบสถ์ วิหาร ที่อยู่คู่กัน แต่หลังไหนเป็นโบสถ์ หลังไหนเป็นวิหาร เป็นศาลาการเปรียญ เธอไม่มีความรู้พอจะบอกได้

เลี้ยวซ้ายตามที่พระรูปนั้นบอก เธอเห็นพระสูงวัยรูปหนึ่งกวาดลานข้างกุฏิ จึงตรงไปกระพุ่มมือไหว้

“เอ้อ…กุฏิพระปานหลังไหนคะ”

พระสูงอายุรูปนั้นเงยหน้าขึ้นมองเธอก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อฟังคำถามจบจึงชี้เข้าไปทางประตู “เดินเข้าไปในนี้แล้วเลี้ยวซ้าย เห็นกุฏิตรงหน้านั่นแหละ… แต่เอ – ท่าจะกำลังสรงน้ำกระมัง ไปที่นั่นแหละ แล้วรอที่หน้ากุฏิท่านก็ได้”

จงจิตเดินระวังสำรวม พอพ้นกุฏิทางซ้ายเห็นกุฏิตรงหน้าปิดประตู จึงไปนั่งรอบนบันไดหน้าห้อง

 

“อ้าว…มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พระปานถือขันน้ำมีผ้าเช็ดตัวสีเหลืองคล้องคอ นุ่งสบงตัวเดียว กลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ แรกเห็นก็จำได้ว่าเป็นจงจิต จึงเอ่ยปากถามทักทาย

จงจิตเงยหน้าขึ้น รู้สึกว่าวางสีหน้าไม่ถูก ยกมือไหว้ “ถึงเมื่อครู่นี่เองค่ะ”

“ไหน หลบหน่อยซิ” พระปานบอกแล้วเดินหลีกก้าวขึ้นบันได หยิบกุญแจไขเปิดประตู แล้วบอก “เข้ามาข้างในก่อน” ทั้งที่รู้ว่าผิดวินัย แต่ไม่รู้จะเลี่ยงอย่างไรในวินัยข้อนี้ เมื่อมีผู้หญิงที่เป็นพี่น้อง เป็นญาติ เป็นเพื่อน หรือเป็นเธอ มาพบ

พระปานได้แต่พยายามทำใจให้สงบนิ่ง พยายามไม่วอกแวก คิดว่าความคิดและจิตใจของตัวเองบริสุทธิ์ ใครคงไม่ว่ากระไร เปิดหน้าต่าง หยิบอังสะขึ้นสวม แล้วบอกให้จงจิตขึ้นมาในห้องนั่งตรงช่องที่มองจากข้างนอกเห็นได้ชัดเจน ส่วนพระปานนั่งถัดเข้ามา

“ลงมาเมื่อไหร่” พระปานถามนำ ทั้งที่รู้จากน้องสาวก่อนหน้านี้ คิดว่า ถึงอย่างไรเธอต้องมาวันนี้ เมื่อวานคงติดธุระเยี่ยมคนโน้นคนนี้มาไม่ได้ “แล้วทำไมมาเสียเย็นล่ะ นึกว่าจะมาถวายอาหารเพล”

“ลงมาแล้วไม่ว่างเลยค่ะ ต้องหาซื้อของให้ครูที่โน่นด้วย ต้องไปไหนต่อไหน เยี่ยมคนโน้น เยี่ยมคนนี้ วันนี้ค่อยว่างหน่อย…พรุ่งนี้บ่ายค่ะ” ประโยคหลังจงจิตตอบเมื่อได้คำถามขัดขึ้นว่าจะกลับเมื่อไหร่

ทั้งสองไม่พยายามมองหน้าซึ่งกันและกัน พระปาน – ด้วยความเป็นพระเกรงว่าความคิดอันเป็นอกุศลจะเกิดขึ้นในจิตใจซึ่งเป็นอันตรายต่อตัวเอง ต่อส่วนลึกของจิตใจซึ่งเพิ่งตกตะกอนนอนก้นได้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เป็นพักเป็นคราว

ส่วนจงจิต ด้วยเกรงว่าจะหักห้ามตัวเองไม่ได้ แม้เมื่อครู่นี้ ขณะได้ยินเสียงพระปาน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นเต็มตา วูบแรกรู้สึกสะท้านทรวงใน ความคิดต่อมาชั่วเสี้ยววินาทีนึกขำที่เห็นสภาพหัวโล้นของเขา และเมื่อมานั่งตรงนี้ เธอกลับจะสะกดกลั้นความรู้สึกของความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเธอกับเขาไว้ไม่ได้ การไม่มองหน้าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งจะไม่ทำให้สิ่งที่สะกดกลั้นไว้ล้นทะลักออกมาทางดวงตา

ถามสารทุกข์สุกดิบไปแกนๆ พระปานถามถึงใครต่อใครที่ด่านอุดม แล้วต่างนิ่งงันจนเสียงระฆังสัญญาณลงโบสถ์ทำวัตรเย็นดังขึ้น พระปานได้ยินแล้วนั่งเฉย

เปลี่ยนความตั้งใจจะลงโบสถ์ทำวัตรเสีย

 

“เสียงระฆังอะไรคะท่าน” จงจิตถามสงสัย

“ระฆังให้พระทำวัตรเย็นที่โบสถ์”

แม้ไม่ค่อยรู้ความหมายของการลงโบสถ์ที่พระปานบอก เธอถามว่า “แล้วท่านไม่ต้องไปหรือคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เว้นบ้าง ปรกติลงเป็นประจำอยู่แล้ว” พระปานให้เหตุผล แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “เมื่อไหร่จะมีข่าวดี”

“โธ่… ท่านอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” จงจิตตัดพ้อ จิตใจหดหู่ลงในเกือบทันทีนั้น ก้อนสะอื้นท้นถึงคอ เธอค่อยกล้ำกลืนลงไป

“ขอโทษ ไม่ตั้งใจจะให้คิดมากอะไร อย่าไปคิดมาก ถามเพราะอยากรู้จริงๆ” พระปานรีบระงับคำพูดอื่นที่จะเป็นเหตุให้จงจิตเศร้าหมอง “เป็นไง  ลงมานี่ดูหนังไปกี่เรื่องแล้ว” พระปานบ่ายเบี่ยงในคำถามที่มีเสียงหัวเราะแผ่วลอดไรฟัน

จงจิตไม่ตอบ นั่งก้มหน้านิ่ง สักครู่จึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านสบายดีหรือคะ” ก่อนพระปานจะตอบ เธอถามอย่างนึกถึงเรื่องที่อยากรู้ เธอยิ้มในหน้าก่อนถามเล่นๆ แต่อยากรู้จริงๆ “ที่นี่มีพระใบ้หวยไหมคะ”

พระปานหัวเราะ ส่ายหน้าปฏิเสธ “ทำไมหรือ จะขอหวย”

“เปล่า ไม่ได้ขอเองหรอก จะขอไปให้แม่ รายนั้นชอบเล่น” จงจิตรีบปฏิเสธ แล้วพูดจริงจังตามต่อมา “เพราะพระใบ้หวยน่ะสิที่ทำให้ฉันไม่ค่อยอยากเข้าวัด”

“ที่นี่มีแต่พระหมอดู ถ้าอยู่อีกสองสามเดือนคงเป็นเอง” พระปานไม่วายพูดเล่น “จะดูหมอตรวจดวงบ้างไหมล่ะ” จงจิตรีบตอบปฏิเสธ

แล้วทั้งสองนิ่งเงียบอีกครั้ง