“เอ็มจี 3” ใหม่-ลูกกวาดน้อย อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีเด่น

สันติ จิรพรพนิต

  

แม้ “เอ็มจี” ได้ชื่อว่าเ ป็นค่ายรถน้องใหม่ของเมืองไทย ทั้งตอนที่มาใหม่ๆ ยังถูกมองด้วยความไม่แน่ใจเพราะเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่จากจีนและไทยในนามบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด

 แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เอ็มจี ซึ่งแต่เดิมเป็นรถสัญชาติอังกฤษที่ “เอสเอไอซี” ค่ายรถจากจีนไปเทกโอเวอร์มา รวมไปถึงการทำตลาดที่เน้นให้เห็นว่าเป็นรถมาตรฐานยุโรป

ไม่เพียงเท่านั้นยังตั้งโรงงานขนาดใหญ่ในเมืองไทย จึงทำให้ความมั่นใจของผู้บริโภคมีมากขึ้นว่าไม่ถูกลอยแพง่ายๆ

แต่สำคัญกว่าคือคุณภาพ
และเทคโนโลยีเด็ดๆ ที่ใส่มาแน่นคัน โดยเฉพาะกับรุ่น “แซดเอส” ที่ใส่เทคโนโลยี “i-SMART” รองรับการสั่งการได้ด้วยเสียงภาษาไทยเป็นครั้งแรก พร้อมกับอัพเดตฟังก์ชั่นใหม่บนแผนที่นำทางที่สามารถแนะนำร้านอาหารและที่พัก

จนทำให้คำว่า “ฮัลโห ล เอ็มจี” กลายเป็นสัญลัก ณ์ของค่ายนี้

เพราะการสั่งงานด้วยเสียงต้องเริ่มต้นทักทายระบบด้วยคำว่า “ฮัลโหล เอ็มจี” นั่นเอง

จึงทำให้ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จน่าพอใจ

โดยหนึ่งในโมเดลยอดฮิตไม่พ้น “เอ็มจี 3” เก๋งเล็กที่อยู่ในเซ็กเมนต์ซิตี้คาร์ แต่ตั้งราคาขายพอๆ กับอีโคคาร์ ทำให้กวาดยอดไปกว่า 17,0 00 คัน

ล่าสุดเอ็มจี 3 ถึงคิวออกรุ่นใหม่ ค่ายเอ็มจีระบุว่านี่คือรุ่น “ALL NEW”

เอ็มจี 3 เป็นรถแฮทช์แบ็ก 2 ประตู เน้นสีสันสดใสแบบลูกกวาดก็ว่าได้ และยังมีแบบสีทูโทนตามสมัยนิยมด้วย

ยังใช้แนวคิด “บริต ไดนามิก” (BRIT DYNAMIC) ในการออกแบบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้
 

ดีไซน์ภายนอกได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรถต้นแบบ “เอ็มจี อี-โมชั่น” (E-Motion)

กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ มีความหรูหรา ทันสมัยยิ่งขึ้น กระจังหน้าขนาดใหญ่คล้ายกับรุ่นอื่นๆ ของค่าย เปิดรับอากาศเข้าเต็มที่ ต่างจากรุ่นเก่าที่กระจังหน้ามีขนาดเล็ก

ไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์ ไฟส่ องสว่างขณะขับขี่กลางวันหรือเดย์ไทม์ รันนิ่ง ไลต์ (Daytime Running Lights) มีระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ

ถ้าดูเฉพาะไฟหน้า การออกแบบดูมีอารมณ์ใกล้เคียงกับค่ายมาสด้าอยู่พอสมควร

ด้านท้ายไฟท้ายแอลอีดี ไลต์ ไกด์ (LED Light Guide) เป็นเส้นพุ่งยาวไปถึงสันหลังคา พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม ไฟตัดหมอกหลัง และสปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต

เส้นสายตัวถังถือว่ามีลูกเล่ นค่อนข้างเยอะทั้งเหลี่ยมสันต่างๆ

ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ แบบ Bi-Colour ดูสวยทีเดียว มีให้เลือกทั้งขนาด 15-16 นิ้ว

 และที่พลาดไม่ได้คือติดตั้งซันรูฟมาให้ด้วย ซึ่งรถระดับนี้ในเมืองไทยหาไม่ได้นะครับ

รูปลักษณ์ภายนอกดูแตกต่างจากตัวเดิมพอสมควร จนดูผาดๆ คล้ายกับรุ่น “แซดเอส” ย่อส่วนก็ไม่ปาน


ภายในออกแบบที่มีสไตล์ดูหรูห
ราสปอร์ตพรีเมียมขึ้น ผสานเส้นสายสีสันลายโมเดิร์นกราฟิก พวงมาลัยท้ายตัดหุ้มหนังมีระบบมัลติฟังก์ชั่น ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control

 เรือนไมล์ทรงกลม 2 วง ดูคล้ายของเดิม

 ติดตั้งจอแสดงผลอัจฉริยะ Multi-Function Display

ตรงกลางเป็นหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว มีตกแต่งลายคาร์บอนเคฟลาร์ในบางจุด

ระบบปรับอากาศแบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่องแอร์ด้านซ้าย-ขวาออกแบบสไตล์ “เจ๊ต เทอร์ไบน์” เป็นทรงกลมดูสปอร์ตขึ้นไปอีก

 แผงข้างประตูเพิ่มมิติของพื้นผิวแทนที่จะราบเรียบธรรมดาๆ

เบาะนั่งหนังผสมผ้าลายโมเดิร์นกราฟิก เบาะคนขับปรับ 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง

มีช่องเสียงอุปกรณ์ต่างๆ ให้ครบทั้งยูเอสบี ช่องต่อไฟ 12 โวลต์

ลำโพงจัดมาให้ 4-6 ตัว แล้วแต่รุ่น

เบาะนั่งด้านหลังพับแยก ส่วนได้ 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บสัมภาระ

ที่วางด้านหลังอาจไม่ใหญ่โตนัก แต่ด้วยรุ่นนี้ไม่มียางอะไหล่มาให้ แต่ใส่ชุดเติมลูกและนำยาอุดรอยรั่วยางเพื่อซ่อมชั่วคราวก่อนวิ่งไปหาร้านได้

ทำให้ได้ที่ว่างตรงจุดวางยางของเดิมทำเป็นช่องเก็บของดูเรียบร้อยดี

ภาพรวมภายในถือว่าออกแบบได้ดูโดดเด่น ให้อารมณ์วัยรุ่นจ๋าทีเดียว

มาถึงหัวใจของรถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบ DOHC VTi-TECH 1,498 ซีซี ระบบจ่ายน้ำมัน หัวฉีดมัลติพอยต์ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode พละกำลังสูงสุด 112 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที

อีกจุดที่เอ็มจีปรับให้เครื่องยนต์คือกรองอากาศที่ขยับขึ้นมาอยู่ด้านบนติดกับกระจังหน้า เพื่อรับอากาศเข้ามาเต็มที่ จากของเดิมที่อยู่ต่ำลงไปทำให้อาจมีปัญหาเวลาเจอน้ำท่วม แต่สำหรับรุ่นใหม่หายห่วง

ช่วงล่างมาตรฐานด้านหน้า แม็กเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังด้วยทอร์ชั่นบีม ระบบเบรกหน้าดิสก์เบรก พร้อมช่องระบายความร้อน ด้านหลังเป็นแบบดรัม

มิติตัวถัง (กว้าง x ยาว x สูง) 1,729 x 4,055 x 1,516 ม.ม.

ความปลอดภัยมาตรฐานรถยุโรป แบบ SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM รวม 8 ฟังก์ชั่น ที่ทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว อาทิ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรก EBA (Electronic Brake Assist)

ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) และระบบป้องกันการลื่นไถล เมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน MSR (Motor Control Slide Retainer)

มีถุงลมนิรภัยคู่หน้ามาให้ด้วย

พลาดไม่ได้กับเทคโนโลยีตัวขายอย่าง “i-SMART” ก็ใส่เข้ามาให้ด้วย พูดฮัลโหล เอ็มจี กันให้เพลินไปเลย

โดยจะสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยกับระบบเครื่องเสียง / ระบบปรับอากาศ / โทร.ออก / ระบบนำทาง หรือสั่งการผ่านหน้าจอทัชสกรีนก็แล้วแต่สะดวก

นอกจากนี้ยังรองรับระบบสั่งการด้วยมือถือ (i-SMART Mobile Application) เช่น ระบบล็อก และปลดล็อกประตู ระบบวางแผนการเดินทาง ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ และระบบค้นหารถ Find my car รวมถึงระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์ และเตือนความผิดปกติของรถยนต์

เทคโนโลยีนี้ “i-SMART” เป็นอีกหนึ่งจุดขายให้รถรุ่นนี้ รวมกับการตั้งราคาที่น่าสนใจ ที่จะเดินตามรอยความสำเร็จของรุ่นแซดเอส

มีให้เลือก 5 สีสดใสทีเดียวคือ สีเหลืองหลังคาดำ Tudor Yellow – Blacktop, สีแดงหลังคาดำ Ruby Red – Black Top, สีฟ้าหลังคาขาว Marina Blue – White Top, สีขาว Arctic White และ สีดำ Black Knight

แบ่งเป็น 4 รุ่นย่อย ราคาปรับขึ้นจากรุ่นเดิม 40,000-50,000 บาท

เริ่มจาก C 519,000 บาท, D 549,000 บาท, X 589,000 และ V 629,000 บาท