หนุ่มเมืองจันท์ : ปรัชญา “บอลโลก”

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

“ออกกำลังกายบ้างหรือเปล่า”

ถ้ามีคนถามประโยคนี้ขึ้นมา ผมก็จะยืดอกตอบทันที

“ทุกวัน”

“แล้วทำไมขอบตาดำจัง”

“ผมออกกำลังกายด้วยการดูบอลครับ”

เป็นการออกกำลังกายรูปแบบใหม่

…ทุกคืนเลย

ฟุตบอลโลกคราวนี้ ผมมีความสุขมาก

เป็นครั้งแรกที่ได้ดูบอลทุกคู่ติดต่อกันมา 4 วัน

อาศัยความเป็น “ฟรีแลนซ์” ที่ไม่ต้องทำงานประจำให้เป็นประโยชน์

“นอนดึก-ตื่นสาย-ทำงานบ่าย-ไม่รับนัดตอนค่ำ”

นี่คือนโยบายในช่วง 1 เดือนของฟุตบอลโลกครั้งนี้

แต่ก็ได้แต่ฝัน เพราะโลกแห่งความเป็นจริงไม่เอื้อให้ทำเช่นนั้นทุกวัน

งานที่รับปากไว้ บางงานเป็นงานช่วงเย็น

หรือเป้าหมายที่จะตื่นสายก็ทำไม่ได้

เพราะพอถึงเวลาที่เคยตื่นก็ตื่น

พยายามนอนต่อแต่ไม่หลับ

เล่าให้ใครฟัง ทุกคนล้วนส่ายหน้า

…ไร้สาระสิ้นดี

จริงๆ แล้ว “ในดีมีเสีย-ในเสียมีดี”

ในสาระก็มีความไร้สาระ

เช่นเดียวกัน ใน “ความไร้สาระ” ก็มี “สาระ” เช่นกัน

ฟังแล้วเริ่มงงใช่ไหมครับ

เพราะการดูบอลโลกครั้งนี้แท้จริงแล้วเป็นการทำงานรูปแบบหนึ่ง

ผมพยายามค้นหา “ปรัชญา” ในเกมฟุตบอล

เสียสละอดนอนมาหลายวันก็เพื่อแสวงหา “ความจริงแท้” ของบางสิ่งบางอย่าง

ถามว่าคืออะไร

ตอบเลยว่า “ไม่รู้” 555

ก็บอกแล้วว่ากำลังค้นหาอยู่

ถ้ารู้แล้วจะค้นหาทำไม

…ใช่ไหมครับ

อย่างคู่ “อาร์เจนตินา” กับ “ไอซ์แลนด์”

“อาร์เจนตินา” เป็นหนึ่งในทีมมหาอำนาจลูกหนัง

เคยเป็นแชมป์โลกมา 2 สมัย

ได้เข้าชิงอีกหลายครั้ง

มี “เมสซี่” เป็นซูเปอร์สตาร์

จริงๆ ผมแอบเชียร์ “อาร์เจนตินา” เหมือนกัน

เพราะอยากให้ “เมสซี่” ได้แชมป์โลกสมกับความเก่งกาจของเขา

“เมสซี่” เป็นนักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์สูงมาก

เล่นบอลเหมือนมนุษย์ต่างดาว

เพราะทำในสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรทำได้

เขาโดดเด่นมากเมื่ออยู่ในทีมบาร์เซโลนา

แต่พอมาเล่นทีมชาติ “เมสซี่” ไม่เคยโชว์ฟอร์มสุดยอดให้เห็นเลย

ครั้งนี้ก็เช่นกัน

“อาร์เจนตินา” มีนักบอลดังๆ มากมาย

แต่ขาดทีมเวิร์กที่ดี

เล่นกันแบบงงๆ

ไม่เหมือนกับ “ไอซ์แลนด์” ประเทศที่มีประชากรแค่ 3.3 แสนคน

นักบอลส่วนใหญ่เหมือนไม่ใช่นักบอลอาชีพ

บางคนเป็นแพทย์ บางคนเป็นผู้กำกับฯ หนัง

แต่ความเป็นทีมสูงมาก

ทุกคนช่วยกันเล่น

เล่นกันเหมือนเป็นแมตช์สุดท้ายของชีวิต

“ไอซ์แลนด์” แสดงให้เห็นว่า “คู่ต่อสู้” ที่น่ากลัวที่สุด

ไม่ใช่ทีมที่เก่ง

แต่เป็นทีมที่ไม่กลัว

ไม่ยอมแพ้

และเล่นกันเป็น “ทีม”

คู่”โปรตุเกส” กับ “สเปน” ก็เช่นกัน

เกมนี้มี “ปรัชญา” แฝงอยู่

คือ ปรัชญา “โรนัลโด้”

คู่นี้เสมอกัน 3:3

เป็นคู่ที่มันที่สุดในช่วง 4 วันแรก

เกมนี้ “โรนัลโด้” แฮตทริก

ยิงคนเดียว 3 ลูก

ฟอร์มการเล่นในสนาม “สเปน” เหนือกว่าเยอะ

แต่เพราะโปรตุเกสมี “โรนัลโด้”

เกมนี้จึงเสมอกัน

จนมีคนบอกว่าผลการแข่งขันไม่ใช่ “โปรตุเกส” เสมอกับ “สเปน”

แต่เป็น “สเปน” เสมอกับ “โรนัลโด้”

อย่าลืมนะครับว่าผู้รักษาประตูของ “สเปน” คือ “ดาบิด เดเคอา”

ผู้รักษาประตูที่เหนียวที่สุดในโลกคนหนึ่ง

แต่เสียประตูให้กับ “โรนัลโด้” ถึง 3 ลูก

ลูกแรกเป็นลูกโทษที่จุดโทษ

ลูกนี้ไม่ว่ากัน

แต่ลูกที่สองเป็นลูกยิงจากนอกกรอบเขตโทษ

ตรงตัว “เดเคอา” เลย

แต่เขากลับ “ซองแตก” รับลูกนี้ไม่ได้

มีคนบอกว่าลูกยิงลูกนี้ทั้งแรงและส่าย

วางมือผิดองศานิดเดียว ก็เรียบร้อยเลย

“ในความธรรมดา แท้จริงไม่ธรรมดา”

เป็นความเรียบง่ายที่เปี่ยมด้วยพลัง

“โรนัลโด้” เป็นนักฟุตบอลที่ได้ชื่อว่ากระหายในชัยชนะ

มี “พรสวรรค์” พอประมาณ

แต่ “พรแสวง” เกิน 100

“อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” เคยเล่าว่าหลังการฝึกซ้อม นักฟุตบอลคนอื่นกลับบ้าน

แต่ “โรนัลโด้” ซ้อมต่อ

โดยเฉพาะการยิงลูกฟรีคิก

ลูกที่ 3 ที่เขายิง “สเปน” ก็คือลูกฟรีคิก

เป็นลูกฟรีคิกที่สวยมาก

ขนาดกองหลังสูงกว่า 190 ซ.ม. 2 คนก็กระโดดเต็มที่

“โรนัลโด้” ยังปั่นบอลข้ามแล้วฮุกลงเสียบมุมคาน

ระดับที่ “เดเคอา” ได้แต่ยืนมอง

นี่คือผลจากการฝึกซ้อมอย่างหนักของ “โรนัลโด้”

ที่ผมเขียนมาทั้งหมดมาจากข้อเขียนหลายชิ้นหลังการแข่งขัน

ผมแค่นำมาวิเคราะห์ต่อ

ระหว่างที่เขียน ผมก็ค้นพบปรัชญาอีกข้อหนึ่ง

“ผู้ชนะ ถูกเสมอ”

หรือ “โลกนี้เป็นของผู้ชนะ”

เพราะก่อนจะถึงฟรีคิกปลิดวิญญาณของ “โรนัลโด้” ลูกนี้

“โรนัลโด้” ยิงฟรีคิกไม่เข้ามา 44 ลูกติดต่อกัน

ลูกนี้เป็นลูกที่ 45

พอยิงเข้าปั๊บ

ทุกคนลืมไปเลยว่าพลาดมาแล้ว 44 ครั้ง

แทนที่จะวิเคราะห์ว่าฟรีคิกครั้งนี้อาจจะฟลุกก็ได้

กลับกลายเป็นว่าเขาพยายามมา 44 ครั้ง

ครั้งนี้จึงเป็นผลจาก “ความพยายาม”

ครับ นี่คือ “สัจธรรม” ของโลกใบนี้

“ประวัติศาสตร์” เขียนโดย “ผู้ชนะ” เสมอ

เห็นไหมครับว่าผมไม่ได้ดูบอลเพื่อความสนุกส่วนตัว

แต่ผมกำลังค้นหา “ปรัชญา” จากฟุตบอล

…จริ๊ง…