ฉัตรสุมาลย์ : การเตรียมตัวตายอย่างมีสติ ตอนที่ 1

ปกติเดือนมิถุนายน เป็นเดือนที่วัตรทรงธรรมกัลยาณีจัดหลักสูตรอบรมพระวินัยแก่ภิกษุณีไทยและนานาชาติมาเข้าปีที่ 5 แล้ว

ปรากฏว่าที่ผ่านมา พอบอกว่าเป็นนานาชาติ พระภิกษุณีไทยท่านก็เลยไม่ค่อยอยากมา เพราะกลัวว่าจะไม่รู้เรื่อง

ซึ่งในความเป็นจริง เราไม่ได้มีแปลไทยอย่างเดียว มีทั้งแปลเป็นภาษามราฐีและเวียดนาม ตามบริบทที่จัดต่างกันไปแต่ละครั้ง

คราวนี้ ติดต่อท่านอาจารย์ครรชิต อกิญจโน ไว้ล่วงหน้าหลายเดือน แต่ท่านจัดเวลาให้ได้ 3 วัน ในช่วง 1-3 มิถุนายน เราก็เลยนิมนต์ให้ท่านเปิดหลักสูตรอบรมพระวินัยของเราโดยเริ่มต้นการอบรมการเตรียมตัวตายอย่างมีสติ ที่ท่านมีชื่อเสียงมาก

พระอาจารย์ครรชิต คือพระครูบวรวีรวงศ์ ท่านประจำอยู่ที่วัดวีรวงศาราม จ.ชัยภูมิโน่น แต่หากพาซื่อติดต่อไปหาท่านที่นั่นก็ไม่เจอค่ะ ท่านเคลื่อนย้ายจากจังหวัดหนึ่งไปอีกจังหวัดหนึ่ง ไปจัดการอบรมที่ว่านี้แหละค่ะ

ท่านอาจารย์ครรชิต ท่านเป็นที่รู้จักกันดี เป็นพระหนุ่ม (คืออ่อนกว่า 70) อารมณ์ดี ฟังเสียงหัวเราะของท่านแล้ว เป็นโรคติดต่อค่ะ เราต้องหัวเราะตามไปด้วย

ท่านสอนธรรมะที่ซื่อและง่าย ทำให้คนที่ไม่เคยเข้าวัดเลยก็เข้าใจได้

ส่วนคนที่คุ้นกับวัดแล้ว จะอุทานว่า เออ ที่เราไม่เข้าใจมานาน ที่แท้มันเป็นอย่างนี้เอง

 

ท่านเริ่มต้นจากการที่เป็นลูกศิษย์ปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อคำเขียน ในช่วงที่หลวงพ่อเป็นมะเร็งต้องนอนในห้องไอซียูนั้น ท่านอาจารย์ก็เฝ้าท่านอาจารย์อยู่นอกห้อง แต่ปรากฏว่าคืนนั้นหลวงพี่ที่จะรับเวรต่อไม่มา ท่านก็เลยเข้ากะยาว

4-5 เตียงถัดไป คุณยายคนหนึ่ง เป็นคนไข้วาระสุดท้าย มีอาการชักกระตุกตลอดเวลา ลูกสาวเห็นหลวงพี่เฝ้าหลวงปู่อยู่ด้านนอก ก็เลยขอให้หลวงพี่ช่วยแม่ด้วย เผื่อจะได้จากไปอย่างสงบ

หลวงพี่คุยกับลูกสาวของคนไข้ เป็นการเก็บข้อมูลเบื้องต้น จะได้ทำความเข้าใจกับคนไข้ได้ คุณยายอายุ 80 กว่าแล้ว ตอนที่ท่านยังไม่เจ็บ ท่านใส่บาตรทุกวัน วันพระท่านจะไปวัดไตรมิตร น่าจะเป็นวัดที่ใกล้บ้าน นอกจากฟังเทศน์แล้วท่านชอบไปนั่งสมาธิที่หน้าหลวงพ่อทองคำ ครั้นในช่วงกฐิน ท่านก็นิยมไปร่วมงานกฐิน และบางครั้งก็ได้เป็นเจ้าภาพด้วย

เมื่อมีข้อมูลเบื้องต้นแล้ว พระอาจารย์จึงเข้าไปทักทายคุณยาย ซึ่งมีอาการชักกระตุกตลอด แต่ยังรับรู้ได้ แสดงอาการรับรู้ตอบสนองโดยการพยักหน้า

พระอาจารย์เข้าไปส่งเสียงทักทายคุณยายว่าพระมาเยี่ยมนะ พระอาจารย์ชวนคุณยายใส่บาตร ซึ่งเป็นกิจวัตรปกติของคุณยายในช่วงที่ร่างกายยังแข็งแรง

พระอาจารย์ “คุณยาย เราเตรียมของใส่บาตรกันนะ”

คุณยายพยักหน้ารับ แล้วก็ชักกระตุกไปด้วย

พระอาจารย์ “เราเข้าไปในครัวกันนะ คุณยายเอาขันข้าวไว้ไหน หยิบขันข้าวก่อนนะ”

คุณยายพยักหน้า

พระอาจารย์ “ข้าวหุงเสร็จแล้วกำลังร้อนๆ เลย คุณยายตักข้าวจากในหม้อมาใส่ในขันนะ”

การพูดนำอย่างนี้ เป็นการย้ายจิตของคุณยายจากอาการชักกระตุกให้มาสนใจกับกิจกรรมที่ทำทางใจ

พระอาจารย์ “คุณยาย พระมาแล้ว คุณยายโชคดีจัง วันนี้พระมาเป็นแถวเลย 6 รูปแน่ะ”

คุณยายมีท่าทีกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที

พระอาจารย์ “คุณยาย พระรูปที่หนึ่งมาแล้วทางขวามือ ท่านเปิดฝาบาตรแล้ว คุณยายตักข้าวใส่บาตรให้ท่านนะ ใส่กับข้าวด้วย”

พระอาจารย์กล่าวนำเช่นนี้ จนถึงรูปที่ 6

ปรากฏว่า พอคุณยายได้ใส่บาตรครบ 6 รูป (ตามการทำงานของจิต)

สิ่งที่เกิดขึ้นที่ลูกๆ ที่เฝ้ามองเห็นเป็นอัศจรรย์ ยกมือขึ้นพนมพร้อมกัน คืออาการชักกระตุกของคุณยายหายไปโดยปลิดทิ้ง

อีกสองวันต่อมาคุณยายสิ้นลมอย่างสงบ อาการชักกระตุกก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

 

หลังจากที่พระอาจารย์เล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว ท่านเน้นว่า ที่สามารถช่วยคุณยายได้ เพราะคุณยายได้สะสมร่องรอยในการทำบุญไว้แล้วในอดีต เมื่อกล่าวเตือน สิ่งที่เคยทำก็ปรากฏในจิตได้ง่าย ชักนำให้จิตออกมาจากวังวนของความคิดที่เป็นทุกข์ได้

พวกเราบางคนคิดแย้งในใจ “อ้าวแล้วคนที่ไม่เคยทำบุญมาเลยล่ะ”

พระอาจารย์ท่านจัดอบรมมาเป็นสิบปี มีหรือที่ท่านจะไม่เท่าทันความคิดของเรา ท่านเล่าต่อ ราวกับจะตอบคำถามของเราเลย

มีคนไข้ที่อาการใกล้ตาย ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ คนไข้โวยวายมากจนพยาบาลโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากพระอาจารย์

คนเจ็บเป็นผู้ชายวัยสี่สิบกว่า พยาบาลเล่าว่า ให้นึกถึงคุณงามความดีอะไรที่เคยทำมา ไม่มีเลย

คนใกล้ตัวที่สุดที่จะเป็นหลักให้ได้ คือ พ่อ แม่

พยาบาลก็ขอให้คนไข้นึกถึงพ่อ แม่ ปรากฏว่า คราวนี้คนไข้มีอาการโกรธขึ้งอย่างมาก มาทราบทีหลังว่า คนไข้ถูกพ่อแม่ทิ้งถังขยะ ไม่รู้จักพ่อแม่

พระอาจารย์ก็เลยให้พยาบาลเอาพระห้อยคอของพยาบาลเองนั่นแหละ ใส่มือ ความว้าวุ่นของจิตของคนไข้ ก็มารวมที่พระที่กำอยู่ในมือ สักครู่ก็สงบลงได้ และจากไปอย่างสงบในที่สุด

พระอาจารย์ท่านอธิบายว่า ที่เป็นอย่างนี้ เพราะจิตเขามีฐานเกาะ หรือตั้งมั่น และไม่ซัดส่ายไปกับอารมณ์ และความคิดที่ย้อนย้ำในอกุศลและความทุกข์ที่จิตคุ้นเคย กลลับมาตั้งมั่นกับความรู้สึก คือรู้สึกถึงพระที่กำอยู่ในมือ ความรู้สึกที่รับได้โดยตรง

พระอาจารย์ท่านทำให้เราเห็นชัดเจนว่า ถ้าเราเข้าใจการทำงานของจิต นอกจากเราจะช่วยคนไข้กรณีใกล้ตายให้ไปสงบแล้ว เรายังเข้าใจกลไกของจิตของตัวเอง และสามารถปลดเปลื้องความทุกข์ที่มากับความคิดไประดับหนึ่งแล้ว

ท่านอาจารย์ให้เราคิดสองหัวข้อ คือ มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้เราอยู่ก็สบาย และตายอย่างสงบ

 

กลุ่มที่อบรมคราวนี้ 53 รูป/คน สนุกมากเลยค่ะ ต้องแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนทุกคน

เมื่อเราเข้าใจปัจจัยที่ทำให้เราอยู่สบาย เราก็ย่อมแสวงหาปัจจัยเหล่านั้น เราเรียนรู้ในกระบวนการง่ายๆ นี้ ทำความเข้าใจว่า การสร้างร่องรอยที่เป็นกุศลในจิตเป็นสิ่งสำคัญ เพราะในยามฉุกเฉินเราจะได้ไปถูกทาง

ท่านธัมมนันทาท่านก็สอนเรื่องวัวดำวัวขาวอยู่เสมอ วาระสุดท้ายก่อนที่จิตจะปฏิสนธิ์ คือ เคลื่อนไปสู่ภพอื่นนั้น เปรียบเหมือนกับวัวดำและวัวขาวที่อยู่ในคอก มีประตูที่จะเปิดออก และวัวจะออกไปได้ครั้งละตัว

วัวดำก็เปรียบได้กับอกุศล และวัวขาวก็เปรียบกับกุศล

เมื่อจังหวะที่จะเปลี่ยนภพภูมิมาถึง เราไม่มีทางรู้เลยว่า วัวดำหรือวัวขาวที่จะหลุดออกไป เพราะเราไม่ได้เป็นคนกำหนดจังหวะเวลาที่จะเปลี่ยนผ่านภพภูมินั้น

เราจึงจำเป็นที่ต้องเพิ่มวัวขาวให้มากเข้าไว้ เมื่อจังหวะนั้นมาถึง เรายังงหวังได้ว่า น่าจะเป็นวัวขาวที่หลุดออกไป

นั่นคือ ได้ไปเสวยภพใหม่ด้วยกุศล ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ได้ทำกุศลต่อได้ง่ายกว่า หากเป็นอกุศล

การสร้างวัวขาว ก็คือที่ท่านอาจารย์ครรชิตท่านพูดถึงการที่จิตเรามีร่องรอยแห่งกุศลแล้วนั่นเอง

 

โอกาสที่จะสร้างร่องรอยแห่งกุศลให้เกิดในจิตนั้น ก็มีตัวแปรหลายอย่าง ที่เราจะทำได้คือสังคมที่เราอยู่ บริบทที่เราอยู่ เพื่อนสนิทมิตรสหายที่อยู่รอบตัวเราล้วนเป็นปัจจัยที่จะสนับสนุน หรือตัดรอนได้ทั้งสิ้น ถ้าเราเกิดปัญญารู้เท่าทัน เราก็จะคบค้าสมาคมกับเพื่อนที่อยู่ในกุศล ทำสิ่งที่เป็นกุศล คิดในสิ่งที่เป็นกุศล เพื่อนในวงเหล้าอาจจะได้รับการพิจารณาก่อนเลย เพราะน้ำเมาเปลี่ยนนิสัยนี้ พาเราไปไกลกว่าที่ตัวเราจะควบคุมได้

บ้างก็อ้างบุญที่ทำมากมาย ขณะเดียวกันบาปก็ไม่ละ ล้วนเป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจจริงๆ จังๆ กันได้แล้ว

พระอาจารย์ท่านสอนสนุกค่ะ เล่าไป หัวเราะไป แต่เราได้ธรรมะล้วนๆ

ที่เล่ามานี้ เพียงวันที่ 1 ค่ะ เราอยู่กับท่านอาจารย์ถึงสามวัน เป็นสามวันที่เราอิ่มเอิบใจจริงๆ และถึงบางอ้อ ว่า การอบรมของพระอาจารย์ไม่ได้อบรมเรื่องเตรียมตัวตายอย่างมีสติเท่านั้น แต่ท่านทำให้เรามีองค์ความรู้ในทางพุทธศาสนาที่นำไปปฏิบัติได้จริง เรียกว่า crash course ของจริง ขอบอก

ขอต่อสัปดาห์หน้านะคะ