วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ /สู่ร่มกาสาวพัสตร์ รำพึงถึงกรุงเทพฯ ยามบ่าย

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์   

 

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

รำพึงถึงกรุงเทพฯ ยามบ่าย

 

เดินอ้อมมาอีกด้านหนึ่ง ชะนีขนขาวรูปร่างน่ารักโยนตัวจากห่วงกลางกรงมาเกาะนิ่งริมลูกกรง มีต้นไม้ใหญ่ลอดออกมาจากกรง สายตาของมันไม่อยู่นิ่ง ส่ายสอดไปมา จงจิตเล่นกับมันตามเคย ราวกับคุ้นเคยกันมานักหนา

อุทัยยังไม่ขยับตัวย้ายตามมา เขาหันมองฝรั่งสองสามคนซ้อมตีลูกกอล์ฟในสนาม

…ชะนีมันเหมือนคนนะ ยิ่งเลี้ยงมันมาแต่เล็กแต่น้อยมันจะผูกพันกับคนเลี้ยงไปจนตาย… จงจิตนึกถึงคำพูดของปานซึ่งเคยบอกเธอเมื่อครั้งที่เขาพาเธอเข้ามาเดินเล่นในนี้ระหว่างคบกันไม่นาน ทั้งปานยังพูดถึงสภาพของสังคม สภาพของสถานที่เช่นสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเจ้าของพยายามหาที่ว่างจัดสัตว์ไว้ให้คนมาพักโรงแรม หรือมารับประทานอาหารให้มีที่พักผ่อนหย่อนใจกับธรรมชาติ ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าสถานพักผ่อนที่เต็มไปด้วยเสียงเพลง กระไอเย็น ควันบุหรี่ และเมรัย ผสมผสานเป็นอันดีกับกามารมณ์

“อุ๊ย!!!” จงจิตสะดุ้งพร้อมอุทาน เมื่อมีมือมาแตะข้างหลัง

“เป็นอะไรหรือ” เสียงอุทัยถามฉงน เมื่อจงจิตตอบว่า เปล่า–เขาจึงคลายสงสัย คิดว่าเธอคงเล่นกับชะนีเพลิน และคงนึกว่าชะนีกัดเอา

เพลิดเพลินกับกรงชะนี กรงนก กวางเก้งสักพักหนึ่ง จนแดดทอดเงายาว ทั้งสองจึงออกจากบริเวณนั้น เดินผ่านสระน้ำ ฝรั่งสวมชุดว่ายน้ำทั้งชาย-หญิงมากกว่าเมื่อบ่ายนอนเล่นเขลงไม่สนใจใคร

ทั้งจงจิตกับอุทัยเดินออกมาเผชิญกับควันพิษเบื้องนอกบนถนนอีกครั้ง

 

รุ่งขึ้นวันที่ 1 ขึ้นปีใหม่ อุทัยจะพาจงจิตตระเวนเยี่ยมญาติอีก ทั้งจงจิตถือโอกาสเยี่ยมญาติของเธอบ้าง

“พรุ่งนี้ตอนบ่ายฉันขอตัวนะคะ จะไปเยี่ยมเพื่อนฝูงเก่าสักหน่อย คุณไม่ต้องไปด้วยก็ได้ นานๆ เจอเพื่อนทีคุยกันนานตามประสาคนไม่ได้พบกัน” จงจิตเอ่ยกับอุทัยก่อนแยกตัวกันตอนค่ำ

“ไปถึงไหน ผมจะไปส่ง” อุทัยแสดงความกระตือรือร้น

“ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ฉันไปหลายแห่ง เดี๋ยวเสียเวลาของคุณไปเปล่าๆ”

“ไม่เป็นไร ผมไปส่งคุณที่ไหนก่อน แล้วตอนเย็นไปรับไง” อุทัยไม่ลดละความพยายาม

“ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหรอกค่ะ เอาเป็นว่า พรุ่งนี้พอเสร็จธุระตอนเช้าแล้วเราแยกกัน บางทีฉันอาจไปกินข้าวเที่ยงกับเพื่อนด้วย” จงจิตบ่ายเบี่ยง–อุทัยไม่ต่อปากต่อคำ เมื่อเห็นว่าเธอต้องการอย่างนั้น

บรรยากาศปีใหม่ยังไม่สร่างซา ผู้คนคึกคักเนื่องจากเป็นวันหยุดติดต่อกันหลายวัน พรุ่งนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ กับหม่อมหลวงโสมสวลี กิติยากร ประชาชนต่างเตรียมเฉลิมฉลองเป็นการมโหฬารด้วยความพร้อมเพรียงกันเป็นอันดี ดังเห็นได้จากการร่วมบริจาคทรัพย์สมทบทุนสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชซึ่งรัฐบาลจัดขึ้นที่ทำเนียบ ได้รับความสนใจและรับเงินสด สิ่งของ ที่ดินมากมายเกินความคาดหมายของใครต่อใครหมด แม้แต่รัฐบาลเอง

จงจิตเพิ่งแยกจากกัลยา เพื่อนที่เคยเรียนฝึกหัดครูซึ่งนัดกันรับประทานอาหารเที่ยงตามประสาเพื่อนเก่า เพราะทุกครั้งที่ลงมากรุงเทพฯ เธอกับกัลยาเป็นต้องพบกันกินข้าวด้วยกันให้ได้มื้อหนึ่งเป็นอย่างน้อย

 

แยกทางกับกัลยาแล้ว เธอเดินหาซื้อของบางอย่างสำหรับกลับไปฝากใครต่อใครที่ด่านอุดม กับขนมคุกกี้ที่ตั้งใจว่าจะไปฝากพระปาน

ขณะเดียวกันรู้สึกเพลียแดด เพลียอากาศกรุงเทพฯ การออกไปอยู่ชนบทนานๆ เมื่อเข้ากรุงเทพฯ จงจิตเหมือนกลับมาสู่เมืองนรก เธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ทั้งที่อยู่มาตั้งแต่น้อยคุ้มใหญ่

ควันพิษ เสียงอึกทึก ผู้คนพลุกพล่าน แหล่งอบายมุข แหล่งบันเทิง ความรีบร้อน ตัวใครตัวมัน ความระแวงสงสัยในกันและกัน สายตาของผู้คนที่ไม่รู้จักกันเฉยเมย ไม่มีแววเป็นมิตร บางคนยังมีท่าทีเป็นอันตรายเสียอีก ทำให้เธอหวาดหวั่นในหลายขณะจิต

ความรู้สึกเช่นนี้เมื่อมีโอกาสได้ออกไปสัมผัสในชนบทอย่างแท้จริงห้วงเวลาหนึ่ง ทำให้เธอพบกับบรรยากาศที่แตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด มันกลับกันเสียจนไม่รู้ว่าจะเปรียบกับอะไรดี

สภาพที่แห้งแล้งในหน้าแล้ง อากาศหนาวเหน็บยามลมหนาวกระโชกกระหน่ำ สิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้จิตใจคนกระด้างไปด้วย กลับทำให้คนเหล่านั้นมีจิตใจแห่งการต่อสู้แข็งแกร่งขึ้น ขณะเดียวกันความอ่อนโยน ความมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเท่าที่จะกระทำได้มิได้สร่างซาไป ทั้งยังยิ่งเพิ่มพูนขึ้นด้วยซ้ำ

กรุงเทพฯ ในสายตาของจงจิตกับปานคล้ายกัน แต่กระนั้น ทั้งเธอและเขาไม่อาจปลีกตัวให้ห่างไกลไปได้นาน ด้วยความเป็นอยู่และผูกพันในอาชีพ ครอบครัว ยังติดพันเป็นภาระซึ่งกันและกัน

ระหว่างคิดว่าจะกลับเข้าบ้านก่อนด้วยแท็กซี่หรือรถประจำทางดี แล้วเธอตัดสินใจจะเรียกแท็กซี่ ด้วยคิดได้ว่า มือทั้งสองข้างไม่ว่างพอจะโหนตัวประคองตัวบนรถเมล์ได้ เพราะมีของพะรุงพะรังพอควร กล่องคุกกี้อย่างหนึ่งละ ถุงผ้าอีกสองสามถุงสำหรับพี่สม พี่นวล ครูวิไล และเพื่อนครูที่โรงเรียน ถุงใส่ขนมแห้งสำหรับลูกศิษย์ตัวน้อยทั้งหลาย

เพียงแต่เธอเผลอว่าเป็นรถสายโคราช-ด่านอุดม รู้สึกเพลียแดด เพลียควันพิษ แต่ทำไมเดินมาอีกตั้งหลายคูหาจนเกือบถึงป้ายรถประจำทาง

 

“สวัสดีครับคุณเมย หอบของเยอะแยะจะไปไหนหรือครับ” เสียงทักทายทำให้เธอหันไปตามเสียงนั้น พอดีกับมือเจ้าของเสียงยื่นออกมา “ผมช่วยถือ”

“อ้าว คุณบาเรียน สวัสดีปีใหม่… ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอกค่ะ” จงจิตทักทายตอบพร้อมปฏิเสธ แล้วรู้สึกประหวั่นใจขึ้นมาอย่างนั้นแหละ เกรงว่าสิ่งที่ตั้งใจไว้จะไม่เป็นไปตามนั้น

“แล้วนี่จะไปไหนครับ” บาเรียนถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

จงจิตขยับมือให้เข้าที่เข้าทาง “กลับบ้าน ไม่ไหว อากาศแย่จริงๆ ว่าจะกลับไปหลับสักงีบ” เธอสนทนาอย่างสนิทสนมกับเขา

“แล้วไปเยี่ยมพระมาหรือยังล่ะ” บาเรียนถามไปอย่างนั้น เพราะเขาไม่ได้ไปเยี่ยมมาเหมือนกัน

จงจิตครุ่นคิดประเดี๋ยวหนึ่งก่อนตอบ “พบกันแล้วค่ะ” ตอบออกไปอย่างนั้น และไม่มีท่าทีสงสัยของบาเรียน เธอจึงคลายกังวลลง

เมื่อได้รับคำถามจากบาเรียนว่า “เป็นไง” จึงบอกไปว่า “ไม่เห็นเป็นไง เห็นว่าท่านสบายดี…เออคุณเรียกแท็กซี่ให้คันหนึ่งซิ ไปที่บ้านเลยนะ”

ระหว่างรอแท็กซี่ บาเรียนชวนคุยถามมาตอบไปอีกบางเรื่องตามประสาเพื่อน จนรถจอดเทียบฟุตปาธ เมื่อขึ้นรถเรียบร้อย จงจิตจึงกล่าวลา