วงค์ ตาวัน : บอลโลก-โลกหมุนไปข้างหน้า

วงค์ ตาวัน

บรรดานักเตะระดับเท้าทองคำ ไม่ว่าจะเป็นเนย์มาร์ บราซิล, โรนัลโด โปรตุเกส, เมสซี่ อาร์เจนตินา, กรีซมันน์ ฝรั่งเศส, ซัวเรซ อุรุกวัย, อาซาร์ เบลเยียม, เลวานคอฟสกี้ แห่งโปแลนด์ และอีกหลายๆ แข้งเทพ ได้ลงโชว์ฟอร์มในสนามบอลโลกที่รัสเซียไปแล้วถ้วนหน้า หลังจากเกมการฟาดแข้งดำเนินไปได้กว่าสัปดาห์

ใครฟอร์มแจ่ม ฟอร์มจ๋อย ได้ประจักษ์ชัดกันไปแล้ว

น่าเสียดายก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวยิงที่ร้อนแรงที่สุดในห้วงนี้ ซึ่งสามารถนำทีมอียิปต์เข้ามาถึงรอบสุดท้ายของบอลโลกได้

แต่อาการบาดเจ็บจากเกมชิงแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ยังคงส่งผลมาถึงเวิลด์คัพ ไม่ได้ลงเล่นในนัดแรก พอมาลงในนัดที่สอง ก็ไม่สมบูรณ์แบบ ทีมอียิปต์ก็เลยพ่ายติดต่อกัน 2 นัด หมายถึงหมดโอกาสได้ผ่านเข้ารอบต่อไปแล้ว

“อียิปต์และซาลาห์คงต้องกลับบ้านแบบห่อเหี่ยว”

แต่โดยรวมแล้ว หลังจากทั้ง 32 ทีม ผ่านการเล่นในนัดแรกๆ ทำให้ได้เห็นความสนุกสนานของบอลโลก 2018 เมื่อทีมใหญ่ทีมเต็งไม่สามารถเล่นกับทีมที่เล็กกว่าได้อย่างสบายๆ เลยแม้แต่ทีมเดียว

กว่าจะชนะก็หืดขึ้นคอ บ้างก็ทำได้แค่เสมอ หรือทีมอดีตแชมป์ถึงกับพลิกล็อกพ่ายแพ้ไปเลย

“บ่งบอกว่าทุกทีมล้วนมีพัฒนาการ มีการยกระดับ”

อย่างเจ้าภาพรัสเซีย ซึ่งไม่มีนักเตะระดับสตาร์เลย ก่อนจะเปิดสนามบอลโลก ไม่มีนักวิจารณ์รายใดที่ให้ราคากับทีมหมีขาว ที่พอจะให้เกียรติหน่อยก็มองว่าดีสุดก็คือผ่านเข้าไปรอบ 16 ทีม

แต่เอาเข้าจริงๆ แต่ละนัด ชนะคู่แข่งอย่างท่วมท้น

แสดงให้เห็นว่า การเล่นเป็นทีมนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด ดีกว่าทีมที่มีแข้งเทพ แต่เมื่อโดยรวมทีมเล่นไม่ดี ก็ไปไม่สวย

หรือแม้แต่ทีมใหญ่ที่มีศักดิ์ศรีแชมป์โลก กลับไม่สามารถไหลลื่นในบอลโลกหนนี้ ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่า เพราะยึดติดกับความสำเร็จของบอลโลกหนก่อน เลยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น ทำให้ขาดสิ่งใหม่ที่เป็นตัวทีเด็ด อีกทั้งเมื่อมาเล่นแนวเดิมฟอร์มเดิมๆ คราวนี้คู่แข่งจับทางได้ว่าจะเล่นอย่างไร วางแผนแก้เกมได้ดี ก็สามารถวางเกมหยุดความร้อนแรงของอดีตแชมป์ได้

“เหล่านี้คือสัจธรรม”

จากเกมในบอลโลก มองได้ถึงความเป็นไปในบ้านเมือง ปัญหาของแต่ละประเทศชาติ ไปจนถึงองค์กรธุรกิจการงาน และแม้แต่การดำเนินชีวิตของแต่ละคน

โลกหมุนไปข้างหน้าตลอดเวลา ทุกสังคมต้องกล้าคิดกล้าเปลี่ยนแปลง

หยุดนิ่งไม่ได้ หรือกระทั่งคิดจะถอยหลังย้อนยุคแบบการเมืองในบ้านเรา ยิ่งแพ้ยับไปกันใหญ่!

มีการเปรียบว่า บอลโลกอันเป็นเกมการฟาดแข้งที่ยิ่งใหญ่สุดยอดของโลกนั้นมีวาระ 4 ปีหน เหมือนกับวาระของการเมือง นั่นคือ 4 ปีเลือกตั้งกันที เพียงแต่การเมืองมีการยุบสภาได้ก่อนครบวาระ ทำให้การเลือกตั้งมีเร็วกว่าวาระ 4 ปีได้

ขณะที่ทีมบอลชาติต่างๆ ก็ต้องผ่านการแข่งขันรอบคัดเลือกตามโซนที่แบ่งกันไปทั่วโลก จนสุดท้ายได้ 32 ทีม เพื่อเข้ามาแข่งรอบสุดท้าย

หนนี้บอลโลก 2018 มาโม่แข้งกันที่รัสเซีย อีก 4 ปีก็ไปว่ากันใหม่ โดยบอลโลก 2022 จะแข่งกันที่กาตาร์

ใครจะเป็นแชมป์หนนี้ ใครจะร่วงตกรอบแรกไปก่อน เดี๋ยวก็คงได้เห็นกัน

ทีมที่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ปาดน้ำตากลับบ้าน แล้วไปทบทวนปรับแก้กันใหม่ สรุปข้ออ่อนข้อด้อยแล้วผ่าตัดแก้ไขทีม เพื่อไปสู้ให้ผ่านรอบคัดเลือก แล้วจะได้ไปเล่นรอบสุดท้ายที่กาตาร์ต่อไป

ทีมที่ไปได้สวยในหนนี้ก็หลงใหลเคลิบเคลิ้มในความสำเร็จเดิม จนไม่คิดพัฒนาให้ดีขึ้นไปอีกในหนหน้าก็คงไม่ได้

“แต่ทั้งหมด ทุกทีมก็ต้องเคารพในวาระ ในกฎกติกา”

เคารพในประชาชนคนดูบอล ต้องเล่นให้สมศักดิ์ศรีเต็มความสามารถ เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกได้รับความสุขจากเพลงแข้งในการแข่งขันมากที่สุด

แน่นอนว่า ในแต่ละเกมการแข่งขันอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น กรรมการตัดสินโดยตามเกมไม่ทัน เป่าผิดเป่าพลาดไปบ้าง ทำให้บางทีมแพ้อย่างไม่น่าจะแพ้

“แต่เมื่อผ่านไปแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามนั้น”

จะมาฟิวส์ขาดกลางสนาม ต่อยตีอาละวาดไม่ได้

ต้องรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย

“อดทนรอคอย เสริมแก้เติมพัฒนาการ เพื่อให้ได้รับชัยชนะในคราวต่อไปให้ได้!”

ไม่มีทีมไหนที่แพ้บ่อย แล้วลุกขึ้นเป่านกหวีดเอากองเชียร์ของตัวเองลงไปยึดสนาม เรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนแข่งขัน แล้วสมคบกับฝ่ายรักษาความสงบให้เข้ามายึดสนามล้มกระดาน

เรื่องแบบนี้เกิดเฉพาะกับการเมืองในบางประเทศ ที่ไม่เคารพกติกาประชาธิปไตย ทั้งที่มีวาระชัดเจนว่า 4 ปี ให้ประชาชนตัดสินกันใหม่ มีโอกาสได้ชัยชนะไม่ต่างกัน ถ้ามีนโยบายดี มีฝีมือการแก้ปัญหาดีให้ชาวบ้านเชื่อใจ

“กลับเอากองเชียร์ออกมาชัตดาวน์ เพื่อให้สถานการณ์เข้าทางตัน ให้ทหารออกมาล้มกระดาน”

ทำให้ประเทศชาติล้าหลัง ประชาธิปไตยไม่พัฒนาต่อเนื่อง เพราะเดี๋ยวๆ ก็ล้มกระดาน

ดูบอลโลกแล้วรู้จักเคารพกติกา เคารพประชาชนเจ้าของอำนาจการเมืองให้มาก!

เจ้าภาพรัสเซีย จัดสนามแข่งขันในบอลโลกคราวนี้ทั้งสิ้น 12 สนาม กระจายไปทั่วประเทศ แน่นอนว่าทุกสนามต้องได้มาตรฐาน จุคนดูได้จำนวนตามที่กำหนด โดยทั้ง 12 สนามที่ใช้งาน ที่ใหญ่สุดก็คือ มีความจุ 81,000 คน

ถัดมาเป็นสนามที่จุกว่า 6 หมื่นที่นั่ง แล้วลดลงไปที่กว่า 4 หมื่นที่นั่ง จนกระทั่งเล็กสุดคือ ความจุประมาณ 3.5 หมื่นเศษ

“คนไทยเราได้ดูการถ่ายทอดสดบอลโลกแบบครบทุกนัด ตามที่บิ๊กป้อมช่วยจัดให้ เราก็จะได้เห็นบรรยากาศของทุกสนามได้ครบถ้วน”

ยอดหญ้างดงาม วิวทิวทัศน์เลอเลิศขนาดไหน

รวมทั้งได้เห็นบรรยากาศประชาชนคนดู ทั้งที่เป็นชาวรัสเซียเจ้าภาพ กองเชียร์จากชาติที่ลงสนามในนัดนั้นๆ และจากหลายๆ ชาติทั่วโลกที่หลั่งไหลกันมา

“จะได้เห็นกันว่า คนที่เนืองแน่นบนที่นั่งคนดู เห็นว่ามากมายมหาศาลนั้น ตัวเลขจริงๆ คือเท่าไร!?”

คือจำนวนคนที่มีตั้งแต่ 3.5 หมื่นขึ้นไป จนมากสุดคือ 8 หมื่นเศษ

“ไม่มีสนามที่เกินแสนคนเลย”

แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับม็อบไล่รัฐบาลบางม็อบ ที่ชอบประกาศว่า ประชาชนออกมาแล้วหลายล้านคน ถึงสิบล้านคนก็มี

ลองใช้สายตาคาดคะเนจากปริมาณคนดูฟุตบอลโลกในแต่ละนัดดู

“ก็จะรู้ว่าความจริงคืออะไร”

เอาง่ายๆ ถ้ามีมวลชนออกมาร่วมนับสิบล้านจริง แทนที่ตอนเขายุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ ก็เอามวลชนมหาศาลเหล่านี้ไปร่วมกันเข้าคูหาเพื่อกาคะแนน ขับไล่รัฐบาลนั้นด้วยวิถีทางประชาธิปไตยอันสง่างาม ประเทศชาติไม่ถอยหลัง เศรษฐกิจการค้าปากท้องชาวบ้านไม่แร้นแค้นเช่นวันนี้

ถ้าอยากให้มีการปฏิรูปให้ก้าวหน้า ก็ให้ชาวบ้านเขาเลือกพรรคการเมืองที่มีแนวทางทำการเมืองให้พัฒนา มีนโยบายปฏิรูป ย่อมสามารถทำได้

ประชาธิปไตยก็ยังคงเดินหน้ามีพลวัตต่อไป ไม่สะดุดหรือถอยหลังเข้าถ้ำ

ดูบอลโลกแล้วได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจริงๆ!