กาละแมร์ พัชรศรี : ตัดสินใจเรื่องใหญ่ในชีวิต

จะว่าไปท่านผู้อ่านก็เปรียบเสมือนเพื่อนของฉันก็ว่าได้

ไม่ว่าท่านจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม เราก็เป็นเพื่อนกันได้ เพราะจะว่าไป ชีวิตของฉัน ในแต่ละช่วงวัย ท่านผู้อ่านก็มักจะรับรู้ทุกเรื่องราว บางทีก็อาจจะมากกว่าเพื่อนในชีวิตจริงเสียอีก

เพราะบางเรื่องก็ไม่ได้เล่า แต่สำหรับผู้อ่านแล้ว เรื่องแต่ละเรื่องที่เล่า มีความสำคัญ มีความหมาย และผ่านการคิด ตกผลึกมาแล้วทั้งสิ้น

การเติบโตขึ้นของฉันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการงาน ความรัก ความคิด จิตใจ ความเป็นอยู่ จิตวิญญาณ ฉันก็มักจะบอกเล่าให้ผู้อ่านทราบเสมอ

ว่าไปแล้วก็อยากจะนัดให้มาเจอหน้ากันเพื่อไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันบ้างนะคะ

เพราะการที่จะเขียนเรื่องให้ได้ทุกสัปดาห์ นั่นหมายความว่า ชีวิตมันต้องมีเรื่องเล่าให้ฟังเสมอ นี่ตลอดเวลาสิบกว่าปี ชีวิตมีเรื่องทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์ช่วงสงกรานต์ ปีใหม่ มี 2 เรื่องด้วยค่าาาา (ฮา)

แต่การเขียนคอลัมน์รายสัปดาห์นั้น ทำให้เราได้มีเวลามานั่งทบทวนตัวเอง คุยกับตัวเอง คิดกับตัวเองว่าชีวิตเราเป็นอย่างไรบ้าง สุข ทุกข์ สบายใจ โกรธ เศร้า งง เบิกบาน และเราได้พัฒนาอะไรไปบ้าง รวมทั้งเรามีอะไรที่เราต้องปรับปรุงบ้าง

คล้ายๆ กับการเขียนรายงานในสมุดพกส่งครูเหมือนกัน

แต่นี่คือ “สมุดพกชีวิต”

 

ในช่วงอายุสามสิบกว่าๆ ประมาณ 35 กระมัง ฉันเกิดปัญหาที่ฉันคิดเอาว่า มันคือ midlife crisis

คือไม่ยินดียินร้ายกับอะไรๆ ในโลก ไม่มีความสุข ไม่สนุก เบื่อๆ เฉยๆ แต่ก็ดำเนินชีวิตไปได้แบบใส่เกียร์ auto ทำไปตามหน้าที่ เช่น ทำงาน ออกกำลัง ไปเที่ยว

แต่ในใจว่างเปล่าและโหวงมาก ภายนอกสนุก แต่ภายในเงียบงัน

ที่เคยบอกคือ คิดว่าเราเอาเงินไปซื้ออะไรดีนะ ถ้าซื้อแล้วของมาอยู่ตรงหน้าเราจะตื่นเต้นดีใจไปกับมัน

ปรากฏว่า…คิดไม่ออก

เสื้อผ้าใส่แบบไร้สีสัน กระเป๋าไม่เปลี่ยน ถือใบเดิม ไม่สนุกกับการแต่งตัว (อันนี้น่ากลัวมากสำหรับผู้หญิง)

เป็นอยู่ 3 เดือน เพื่อนเป็นหมอบอก ดีนะไม่ฆ่าตัวตายไปก่อน อาการคล้ายซึมเศร้าเลย

ดีที่ผ่านมันมาได้ ตอนผ่านมานั้น หลายคนบอกว่า “เดี๋ยวมันก็กลับมาอีก ให้จำไว้นะว่ารอดมาอย่างไร”

แต่มาวันนี้ ฉันรู้เลยว่าตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตตามวิถีนี้ ฉันจะไม่กลับสู่จุดนั้นอย่างเด็ดขาด

 

ในวันนั้น “เพลงร่มสีเทา” ทำให้ฉันตาสว่างกับชีวิตที่แบกอะไรไว้เยอะเหลือเกิน เพียงแค่โยนมันออกไป มันจบเลย

พี่โหน่ง วงศ์ทนง ที่ให้ฉัน “พึงพอใจกับปัจจุบัน”

และพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ที่ทำให้ฉันเจอความสุขในกำมือ มันง่ายๆ แบบวันเดียว…จบ

และในวันนี้ ฉันตัดสินใจแล้วว่า ฉันจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร

ในวันที่ฉันปฏิบัติภาวนาและฟังธรรมจากครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง

ซึ่งยิ่งเมื่อได้ฟังความดีอันประเสริฐ ความเสียสละ พระบารมีของพระพุทธเจ้าแล้ว ฉันบอกกับตัวเองเลยว่า ฉันต้องมีความเพียรมากขึ้นไปอีก

ฉันจะตั้งใจ มีวินัย มุ่งมั่นทำสิ่งดี ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา

เรารู้เลยว่าชีวิตมันมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มาก มันไม่ง่าย แต่เราจะไม่ท้อ

เมื่อใดที่หัวใจมีธรรม เราจะไม่รู้จักคำว่าเหงาอีกต่อไป เราจะรู้ความหมายของการมีชีวิตอยู่ เรารู้แล้วว่าเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร

ในทางโลก เราก็ทำเต็มที่ ไม่บ่นเหนื่อย ไม่ขี้เกียจ ไม่อ่อนแอ ไม่หาข้อแก้ตัวใดๆ เลิกกลัว กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความยาก เผชิญกับโลกที่อยู่นอก comfort zone ลองทำสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย แต่มันจะดีกับชีวิตเรา ทำให้เต็มที่ ลุยไปให้สุด จะได้รู้ว่ามันจะไปสุดที่ตรงไหน

หลายคนมักถามฉันว่า มีเงินตั้งมากมายแล้ว จะทำอะไรกันนักหนา จะเอาเงินไปทำอะไร

คุณคะ ชีวิตอย่าประมาทค่ะ ไหนเราจะมีพ่อแม่ที่ต้องดูแลเลี้ยงดู เพื่อนฝูง บริวารที่ต้องส่งเสีย บ้านที่ต้องผ่อน ไหนจะบั้นปลายชีวิตอีก การเดินทางท่องโลกก็ไม่ใช่ใช้เผากระดาษแล้วไปถึงเสียเมื่อไหร่

ที่สำคัญเวลาที่เราอยากช่วยเหลือใคร อยากทำบุญ อยากทำทาน ถ้าเราไม่มีทรัพย์ที่เราสามารถให้ได้โดยที่เราไม่เดือดร้อน แทนที่เราจะช่วยได้มาก เราก็ได้แต่น้อย ทรัพย์ของเรานั้นสามารถทำประโยชน์ ต่อชีวิต ต่อลมหายใจ ต่ออนาคตเขาได้

เป้าหมายนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ มันไม่ใช่ภูเขาลูกเล็กๆ ที่ฉันเคยพิชิตแล้วพิชิตเล่า แล้วก็ต้องมาถามตัวเองว่า เราต้องทำอะไรต่อ

ภูเขาลูกนี้ยิ่งใหญ่กว่าเขาใดทั้งหมด บางครั้งอาจจะพิชิตต่อในอีกหลายชีวิตก็เป็นได้…