ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 มิถุนายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์ |
เผยแพร่ |
สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา มองปรากฏการณ์เดินสาย ครม.ประยุทธ์สัญจรถี่ขึ้น ลงพื้นที่มากขึ้น บวกกับปรากฏการณ์พลังดูดที่ยังไม่จบสิ้นในขณะนี้ว่า เป็นปกติหลังการรัฐประหารทุกครั้ง เราจะสังเกตเห็นว่าคณะ-พวกพ้องของผู้ที่ทำรัฐประหารพยายามจะตั้งพรรคการเมือง อยากจะเป็นรัฐบาลตามระบอบ
แต่มีกติกาใหม่ที่พิสดาร โดยเฉพาะเรื่องที่นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เป็นสิ่งที่ผิดแผกแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ก็เท่ากับว่าเป็นการเปิดช่องโอกาสมากขึ้น สิ่งที่เราเห็นช่วงนี้เหมือนโยนหินถามทาง อีกทั้งเป็นท่าทีที่แตกต่างไปจากตอนช่วงต้นในการทำรัฐประหารอย่างสิ้นเชิงที่เป็นความเกลียดชังนักการเมือง ตรงนี้เป็นนัยยะชี้ให้เห็นว่าท่านคงอยากจะกลับมาต่อ
ในสายตาของคอการเมืองจะรู้ได้ทันทีว่าที่ทำอยู่ทั้งหมดระยะหลังนี้ โดยเฉพาะการเดินสาย ครม.สัญจรถี่ขึ้น มันเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่านี่คือ “การหาเสียง” ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าท่านหรอก เพียงแต่อยากจะเห็นท่านแสดงความกล้าหาญโดยการประกาศออกมาเลยว่าท่านตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้วที่จะให้พรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดเสนอชื่อ ให้ท่านเป็น 1 ใน 3 ที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ควรทำทุกอย่างจะได้กระจ่างชัด แล้วจากนี้ท่านจะทำอะไรก็ได้ เฉกเช่นในอดีตรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พอรู้ว่าตัวเองใกล้ถึงช่วงยุบสภาใกล้หมดวาระก็จะขยันลงพื้นที่เพื่อช่วงชิงคะแนนนิยมจากประชาชนเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครว่าหรอก เพียงแค่ต้องการ “อยากจะเห็นความชัดเจน”
อย่าไปอึมครึมในเมื่อวันนี้พฤติกรรมที่ท่านแสดงออกมันปฏิเสธไม่ได้แล้ว ว่าเป้าหมายของท่านนั้นคืออะไร
: มีการประเมินตัวเลขจำนวนที่นั่งพลังประชารัฐ 150-160 เสียง?
อย่าไปเชื่อเลย เซียนการเมืองที่คาดเดา หงายท้องกันมาเป็นแถวแล้ว
การประมาณการก่อนเลือกตั้ง ทั้งที่วันนี้ยังไม่มีการปลดล็อกการเมือง การกระทำกิจกรรมทางการเมืองของพรรคใดๆ ยังไม่สามารถที่จะทำได้ นโยบายที่จะลงสู่สนามเลือกตั้งของแต่ละพรรคก็ยังไม่มีการประกาศออกมา
ทุกวันนี้ก็เหมือนกับเป็นการ “ชกโชว์” อยู่ข้างเดียว ก็เลยคาดเดาไปว่าอาจจะได้เท่านั้นเท่านี้
แต่ผมมองว่าคุณไม่สามารถตัดสินใจแทนประชาชนได้ สิ่งที่คุณทำคุณก็คิดว่าดี พรรคพวกของคุณก็บอกว่าดี แต่คุณไม่รู้ใจประชาชนว่าดีพอที่เขาจะตัดสินใจ ลงคะแนนเลือกคุณหรือไม่
ผมอยากจะให้ดูบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา แต่ละพรรคเวลาประเมินตัวเองล้วนหงายท้องกันเป็นแถบ เพราะชอบไปคิดแทนประชาชนว่าตลอดระยะเวลาที่ทำงานมาน่าจะได้รับคะแนนนิยม
พอถึงเวลาจริงออกมาเป็นคนละเรื่อง!
เพราะฉะนั้น ต้องรอให้สัญญาณทุกอย่างชัด ให้ปี่กลองเลือกตั้งนั้นดังขึ้นจริงๆ ให้ทุกคนได้ออกมาแสดงบทบาทของตัวเองเอานโยบายออกมานำเสนอและให้ทุกพรรคได้ชกโชว์ให้ทุกคนเห็น ฝีไม้ลายมือของใครเป็นอย่างไร
จุดนี้แหละถึงจะสามารถประเมินตัวเลขได้
: บทเรียน ส.ส.ย้ายพรรค กับพลังดูด
ผมอยากจะให้ดูประวัติศาสตร์ ว่าหลังจากการรัฐประหาร พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมา โดยกลุ่มที่ทำรัฐประหารเองโดยตรงก็ดีหรือเพื่อนพ้อง (โดยมีคนที่ทำรัฐประหารเป็นเงายืนอยู่ข้างๆ) มีพรรคไหนบ้างครับที่สามารถยืนระยะได้และสามารถประสบความสำเร็จได้ในการจัดตั้งรัฐบาลโดยตัวเองเพียงพรรคเดียวได้
มันไม่เคยมี ยิ่งกติกาปัจจุบันเช่นนี้ตามรัฐธรรมนูญกำหนด มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะมีพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดจะได้เสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาจัดตั้งรัฐบาล ผมคิดว่าประวัติศาสตร์มันสอนให้รู้เลยว่า พรรคการเมืองที่มาจากสถานการณ์การปฏิวัติและผลสุดท้ายตอนจบเป็นเช่นไร
ผมเชื่อว่าคนที่อยู่ในแวดวงการเมืองแม้แต่คนใน คสช. คงได้ศึกษาและคงได้ทราบประวัติศาสตร์นี้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ต้องบอกว่าเมื่อตัดสินใจแล้วถ้าอยากจะเข้ามาลุยน้ำจงอย่ากลัวเปียก และอย่ากลัวว่าจะพลัดหลงตกไปในน้ำถูกแม่น้ำซัด จนเจ็บปวดได้รับบาดเจ็บหรือกระทั่งสูญเสียชีวิต บทเรียนมันมี
ที่สำคัญ ประชาชนเขาจะมองนักการเมืองที่เลือกตั้งครั้งหนึ่งแล้วเปลี่ยนพรรคครั้งหนึ่ง มองไม่ยาก
นักการเมืองคนไหนที่ยืนหยัดเด็ดเดี่ยว คนนั้นมักจะได้ใจจากประชาชน
เราจะเห็นว่ามีคนอยู่ที่พรรคการเมืองใหญ่ๆ เขาก็อยู่อย่างนั้นตลอดจะกี่ปีกี่ครั้งคนก็เลือก แม้แต่ในช่วงกระแสพรรคตกต่ำ อาจไม่ถูกเลือกแต่เขาก็ยังยืนหยัดอยู่กับพรรค พอกระแสพรรคดีเขาก็ได้กลับมา จะเห็นเลยว่า คนที่กระโดดออกมายามที่พรรคเขากำลังเผชิญกับความยากลำบาก ออกมาเพราะคิดว่าจะประสบความสำเร็จ แต่แล้วประชาชนก็ลงโทษเขาเหล่านั้น เพราะมองว่าเป็นนักการเมืองที่ไม่มีอุดมการณ์ เป็นนักการเมืองที่กล้าที่จะทรยศแม้แต่พรรคของตัวเอง แล้ววันหนึ่งจะไม่ทรยศประชาชนหรือ?
ในจุดนี้ผมก็คิดว่ามีบทเรียนอยู่เยอะแยะเลยกับพวกที่ทิ้งพรรคการเมืองในขณะที่พรรคกำลังเผชิญกับความยากลำบาก
ผลสุดท้ายคนก็มองเห็นแล้วก็ตัดสิน ลงโทษด้วยการไปกาบัตรเลือกตั้งมันมีบทเรียน
: มีคนเตือนว่าอย่าไว้ใจนักการเมือง แม้จะไปจับมือไว้ ไปแตะมือไว้เป็นพันธมิตรกัน
ก็จริงอยู่ที่ว่า จะเป็นพันธมิตรกันนะ แต่ถึงเวลาหลังจากผลคะแนนออกมา พรรคที่ได้เสียงข้างมากมาเชิญก็ไปแล้ว
อันนี้เป็นเรื่องปกติ เราต้องยอมรับธรรมชาติของฝ่ายการเมืองว่าไม่มีใครอยากจะเป็นฝ่ายค้านหรอก เพราะนโยบายของพรรคตัวเองที่ประกาศไว้กับประชาชนไม่สามารถที่จะนำมาใช้ได้เลย
ในกติกาใหม่-รัฐธรรมนูญเช่นนี้ ส.ส.ต้องทำหน้าที่นิติบัญญัติอย่างเดียว จะไปทำแบบเมื่อก่อนไม่ได้ เช่น รองบประมาณเข้า ใช้เทคนิคใช้ความเป็นกรรมาธิการมาแปรญัตติ ครั้งนี้รัฐธรรมนูญไม่ได้เปิดโอกาสให้กระทำเช่นนั้น ฉะนั้นวันนี้ผมเชื่อว่าใครๆ ก็อยากเข้าไปเป็นพรรครัฐบาลเพื่อที่จะได้มีโอกาสนำนโยบายของพรรคตัวเองมาใช้แก้ปัญหาให้กับประชาชนของตัวเอง
เราต้องยอมรับว่าการที่มีรัฐมนตรีเป็นคนของพรรคมันสามารถที่จะแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นระยะยาวให้กับประชาชนได้อย่างฉับพลัน มันจะเกิดประโยชน์กว่าการเป็นฝ่ายค้าน
: นายกฯ พูดบ่อยครั้งขึ้นว่า เลือกตั้งแน่ กุมภาพันธ์ 2562 เชื่อได้หรือไม่?
เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งนะครับ น้าชาติ (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) พูดอยู่เสมอว่า ก่อนพูดเราเป็นนาย แต่หลังจากพูดไปแล้วคำพูดกลายเป็นนายของเรา ผมไม่ได้กล่าวหาท่าน ไม่ได้ตำหนิท่านเลย การที่ท่านพูดแล้วไม่สามารถที่จะทำตามที่พูดได้เรื่องการเลือกตั้งใน 4-5 ครั้งที่ผ่านมา มันล้วนแล้วมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเหนือความคาดหมาย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ท่านย้ำหลายครั้งว่ายังไงเสียเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 ต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งแน่นอน ผมก็อยากจะบอกว่า วันนี้รัฐธรรมนูญได้ใช้มา 1 ปีเศษแล้ว พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับที่จำเป็นเสร็จสรรพเรียบร้อยหมดแล้ว รอเพียงแต่โปรดเกล้าฯ ทุกอย่างก็จะครบหมดแล้ว รอเพียงแต่ว่าจะปลดล็อกทางการเมืองเมื่อไหร่ แล้วก็จะปรึกษาหารือกันกับทาง กกต. เมื่อไหร่ จากนั้นก็ประกาศความชัดเจนออกมา ซึ่งตรงนี้จะยิ่งทำให้เกิดความเชื่อมั่น ว่ามันจะไม่มีเหตุแทรกซ้อนใดๆ อีกแล้วที่จะทำให้การเลือกตั้งมันจะต้องผิดไปจากคำพูดที่ได้ให้เอาไว้
ฉะนั้น วันนี้ต้องบอกเลยว่าคงต้องเชื่อแล้ว เราเห็นพรรคการเมืองทุกพรรคเริ่มตื่นตัวแล้ว เริ่มมีการเดินสายออกไปพบผู้สมัครของตัวเองในพื้นที่ต่างๆ นั่นหมายความว่าทุกคนล้วนมองไปถึงอนาคต 7-8 เดือนข้างหน้าและคงไม่มีเหตุผลใดที่จะมาอ้างอีก แต่ถ้ามันจะเป็นแบบที่บางคนของรัฐบาลพูดไว้ว่า หากจะนับแบบยืดเวลาออกไปเต็มที่ ก็อาจจะดีเลย์ออกไป อีกสัก 2-3 เดือน คือ ไม่กุมภาพันธ์ก็เมษายน หรือไม่ก็มิถุนายน สุดแท้แต่ แต่โดยภาพรวมๆ ผมเชื่อว่าปี 2562 ต้องมีการเลือกตั้งแน่นอน!
เสี่ยตือทิ้งท้ายไว้ว่า อยากให้จับตาดูคือ คสช. จะเริ่มปลดล็อก คืนอิสรภาพให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมได้เมื่อไหร่
ต้องไม่ลืมว่ามีบางหมวดบางมาตรา เช่นใน พ.ร.บ.พรรคการเมืองมันจะมีเงื่อนของเวลากำกับว่าจะต้องทำภายในกำหนดเมื่อใด ไม่งั้นเดี๋ยวรัฐบาลจะต้องมาใช้มาตรา 44 เป็นยาดำ-แก้วสารพัดนึก ซึ่งนี่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดผลดีเลย มันจะกลายเป็นว่ามาตรา 44 ใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญอีก ซึ่งผมอยากจะเห็นประชาชนให้เกียรติรัฐบาล ฉะนั้น ควรทำตามกติกาครับ ในเมื่อจะคืนแล้ว อย่าปิดกั้นเลย ให้แต่ละพรรคเขาได้แข่งขันทางการเมือง
โดยออกจากจุดสตาร์ตพร้อมๆ กันบนความเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งออกจากเส้นสตาร์ตที่จุด 100 เมตร อีกฝ่ายหนึ่งไปออกสตาร์ตที่ 50 เมตร อีกฝ่าย 0 เมตร อย่างนั้นประชาชนเขาจะว่าเอาได้!