ฉัตรสุมาลย์ : หมอฟันในดวงใจ

โดนหมอฟันดุเสียอ่วม ระบายมาให้ฟังคราวก่อน เมื่อเจอหมอฟันที่ถูกใจก็ต้องเขียนถึงท่านเหมือนกันนะคะ

จังหวัดนครปฐมนั้นมีช่องทางหาหมอฟัน 3 ทางคือ คลินิก ซึ่งแพงมากกกก ถ้าจะเอาถูกก็ไปโรงพยาบาลนครปฐม ไม่เคยไป ไปครั้งแรกก็โดนหมอดุจนเสียศูนย์ไปเลย

คราวนี้ก็ฟันผุอีก ปรารภกับลูกๆ ว่าไปที่ไหนดี ได้รับคำแนะนำว่าให้ไปสาธารณสุข เขามีคลินิกฟัน เปิดตอนเย็น บ่าย 4 โมงครึ่งเป็นต้นไป น่าจะปิดหนึ่งทุ่ม และคนไม่มาก

สาธารณสุขที่ว่านี้อยู่ห่างจากวัตรทรงธรรมกัลยาณีไปเพียง 3 ก.ม. บนถนนเพชรเกษม คือวิ่งไปซื่อๆ ก็ถึง

ลูกคนหนึ่งก็เข้าไปจองคิวให้ก่อน เขามีประเพณีเอาบัตรประจำตัวประชาชนไปวางไว้ในกล่อง เจ้าหน้าที่มาเปิดกล่องเรียกตามลำดับ

ปรากฏว่าเขามาวางบัตรกันตั้งแต่บ่ายสามโมง

กว่าที่ผู้เขียนจะได้พบหมอ ก็เข้าไป 6 โมง นั่งรอตั้งแต่บ่ายสี่โมงครึ่ง หมายเลขที่ได้รับ 15 บัตรคิวน่ารัก ทำเป็นรูปฟันกรามค่ะ หมอฟันก็มีรสนิยมทางศิลปะนะ

คุณลุงคนหนึ่งมาติดต่อที่เจ้าหน้าที่ว่าจะมาถอนฟันหรืออุดฟันก็ยังไม่แน่ใจ แต่มีเงินมา 200 บาทเท่านั้น ดูเหมือนค่าใช้จ่ายในการถอนอยู่ที่ซี่ละ 250 บาท ตกลงเจ้าหน้าที่ก็ยังจัดคิวให้ได้พบกับคุณหมอ อย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าจะถอนหรือจะอุด แล้วค่อยนัดมาใหม่ก็ยังได้ ลำพังพบคุณหมอไม่ต้องเสียเงิน

ที่คลินิกนี้มีเก้าอี้ทำฟัน 3 เตียง ผู้เขียนได้ห้อง 1 พอเข้าไป คุณหมอเป็นผู้ชาย น่าจะอยู่ในวัย 40 ปลายๆ ดูไม่ค่อยออก เพราะสวมผ้าคาดปิดปากจมูก

ต้องเรียนท่านบรรณาธิการนะคะ คุณหมออ่านมติชนสุดสัปดาห์ค่ะ

 

ปากเป็นพื้นที่ส่วนตั๊วส่วนตัว เวลาอ้าปากให้หมอฟันดู เรากำลังอนุญาตให้หมอฟันเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเรานะ

คุณหมอท่านนี้ เมื่อเราอ้าปากแล้ว ท่านก็ขออนุญาตตรวจสภาพช่องปากโดยรวม ดูทั้งกระพุ้งแก้มและลิ้น หากมีอะไรที่ผิดปกติท่านจะได้บอกคนไข้ได้

แล้วท่านก็ตรวจสภาพฟันโดยรวม

ท่านยอมเสียเวลาเพื่อประโยชน์ของคนไข้ ท่านสอนให้แปรงฟัน โดยแนะนำว่า ลำพังการแปรงฟันอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้ไหมขัดฟันด้วย แนะโดยชี้ว่าจุดไหนที่หมอเห็นว่าเราแปรงไม่ถึง ยังมีร่องรอยของเศษอาหารค้างอยู่

สำหรับผู้เขียน จุดที่ฟันผุ เป็นจุดที่ไม่ใช่ปกติ คุณหมอท่านอธิบายว่า สำหรับท่านที่ใช้ฟันปลอมประเภทถอดได้ เมื่อรับประทานอาหารแล้วให้ถอดล้าง เพราะจะมีเศษอาหารที่เข้าไปแอบใต้ฟันปลอมที่ใส่

ใช่เลยค่ะ ผู้เขียนใส่ฟันปลอมสำหรับเคี้ยวแล้วไม่ถอดทั้งวัน จนกว่าจะถูฟันก่อนเข้านอนโน่น

เป็นข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์กับท่านที่ใช้ฟันปลอมประเภทถอดได้นะคะ

คุณหมอบอกว่า ช่วงกลางวันนี้ตัวดีเลยที่จะทำให้ฟันผุได้

ผู้เขียนไม่ได้เอาฟันปลอมไปด้วย คิดเอาเองว่า จะได้ไม่เกะกะเวลาหมออุดฟัน คุณหมอสอนใหม่ว่า ต้องเอาชิ้นส่วนต่างๆ มาเสมอ เพราะเมื่ออุดฟันแล้ว ส่วนที่อุดอาจจะทำให้เมื่อใส่ฟันปลอมแล้วใส่ไม่ลง ต้องกรอส่วนอุดใหม่นั้นออกให้พอดี

ผู้เขียนรับปากคุณหมอว่า หากกลับไปแล้วใส่ฟันไม่ลงจะวิ่งมาหาคุณหมอในวันรุ่งขึ้น แต่โชคดีไม่มีปัญหา เลยไม่ได้กลับไปขอบคุณคุณหมอ

 

ปรากฏว่า นอกรอบคุณหมอยังสนใจที่จะคุย ท่านเล่าว่า หลังจากที่ท่านได้อ่านบทความที่ผู้เขียนเขียนลงมติชนไปเมื่อเดือนก่อน บ่นเรื่องโดนคุณหมอฟันดุ คุณหมอท่านเอามาสอนผู้ช่วยของท่านเมื่อบ่ายสามโมงของวันเดียวกันนั้นเอง ว่า ให้เข้าใจความรู้สึกของคนไข้ที่มาหา เพราะบางที่ทำงานซ้ำๆ ก็จะสั่งคนไข้ว่า “อ้า อ้า”

ในขณะที่คุณหมอหันไปทำอย่างอื่น คนไข้ก็ไม่รู้เพราะเขาเอาผ้าปิดตาไว้ คนไข้ก็ยังพยายามอ้าอยู่อย่างนั้น หมอก็ไม่ให้สัญญาณว่าตอนนี้พักได้ ทำฟันครึ่งชั่วโมง คนไข้อ้าอยู่ตลอด ในความเป็นจริงมันเป็นไปได้ไหม

ผู้เขียนเกร็งมาจากหมอคนก่อน คราวนี้ก็พยายามอ้าปากเต็มที่ จนคุณหมอท่านนี้ว่า หย่อนๆ ลงก็ได้

คุณหมอท่านรับฟังความรู้สึกของคนไข้และนำไปพัฒนา โดยฝึกผู้ช่วยพยาบาลให้เห็นมุมมองของคนไข้ด้วย

แต่ก็นั่นแหละ จะมีคนไข้สักกี่คนที่จะอยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลจากมุมมองของคนไข้ที่เข้ามารับบริการ

และจะมีคุณหมอสักกี่คนที่จะยอมรับฟังมุมมองของคนไข้

 

คุณหมอท่านนี้ ท่านทำหน้าที่เป็นครู สอนความรู้ในการรักษาอนามัยในช่องปาก แนะนำว่าควรทำอย่างไร โดยไม่ชี้โทษ โทษก็คือ คนไข้แปรงฟันไม่ทั่วถึง ท่านก็ชี้ว่า ตรงนี้นะเป็นจุดที่ต้องเฝ้าระวัง ได้ประโยชน์กับผู้มาใช้บริการมาก

สองอาชีพที่ไม่ค่อยฟังคนอื่น คืออาชีพหมอ กับครู-อาจารย์

เว้นท่านที่รับฟังนะคะ ขอขมาล่วงหน้า

หากเราได้นำเอาธรรมะเข้ามาใช้ในการดำเนินชีวิตของเรา เราก็จะรู้ว่า งานที่เราทำนั้นมักก็เป็นเพียงหัวโขนชั่วคราว

ระหว่างคนไข้กับหมอ เรามีความทัดเทียมกัน คือเราเป็นมนุษย์ มีความทัดเทียมกันเป็นพื้นฐานคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ไม่มีข้อยกเว้น

ธรรมะข้อนี้ เป็นธรรมชาติ และธรรมดา

พอคิดได้อย่างนี้ เราเกิดความเมตตาตัวเอง พอเมตตาตัวเองเป็น ก็จะรู้จักเมตตาคนอื่น

ผู้เขียนเองอยู่ในอาชีพอาจารย์มานาน เวลาสอนลูกศิษย์ไปซ้าย แต่เขาไปขวา เราก็นึกว่า ทำไมมันโง่อย่างนี้

อ้าว ถ้าเขาฉลาดเท่าเรา เราก็ตกงานนะ

ถ้าเด็กเขาเก่งอยู่แล้ว เขาไม่ต้องมาเรียนกับเราก็ยังได้ เพราะเขายังไม่เก่งน่ะซีที่เขาต้องมาเรียนกับเรา

ครู-อาจารย์ที่เก่งๆ คือคนที่สามารถสอนคนที่ไม่เก่งให้เก่งขึ้นต่างหาก

ผู้ที่อยู่ในอาชีพหมอก็เหมือนกัน เรียนหมอเพื่อที่จะใช้ชีวิตที่ให้กับคนอื่น ใช้ชีวิตให้สุขภาพที่ดีขึ้น

หมอต้องเป็นทั้งครู ที่จะให้องค์ความรู้ที่ถูกต้องเพื่อให้คนไข้กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติมากที่สุด

หมอต้องเป็นผู้เยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจของคนไข้

ถ้าเรียนหมอ เพราะเก่ง และเห็นว่าหมอเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดี ก็จะผิดเป้าหมายตั้งแต่ต้น

หมอคือผู้ให้ชีวิต ร่างกายที่ดี

ครูคือผู้ให้วิชาความรู้ที่จะช่วยให้ลูกศิษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

เออ แล้วทำไมอายุเฉลี่ยของหมอจึงไม่ถึง 60

เป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณากัน

จบท้ายว่า ได้พบหมอฟันในดวงใจแล้วค่ะ ที่สาธารณสุข จ.นครปฐม