เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ เขียนถึง อ๊อฟ พงษ์พัฒน์

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์

 

เขียนถึง อ๊อฟ พงษ์พัฒน์

 

“…ผมจะเดินไปบอกคนคนนั้นว่า ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ…ผมรักในหลวงครับ”

นี่คือประโยคที่สร้างความสั่นสะเทือนแก่วงสังคมในวงกว้างเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เป็นคำพูดบนเวทีประกาศรางวัลนาฏราชครั้งที่ 1 เมื่อปี 2553

เจ้าของคำพูดคือบุคคลที่ผมจะเขียนถึงในเครื่องเคียงฯ ตอนนี้

เขาคือ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง หรือ อ๊อฟ ไอ้อ๊อฟ พี่อ๊อฟ น้าอ๊อฟ ลุงอ๊อฟ ของใครต่อใคร

ที่เขาได้ขึ้นไปพูดบนเวทีวันนั้น เนื่องจากได้รับว่าเป็นผู้ชนะในการประกาศรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทพ่อผู้เป็นเกย์ ในเรื่อง “พระจันทร์สีรุ้ง”

จากบทพ่อในละครที่ได้รับรางวัล เขาโยงไปถึง “พ่อ” ของแผ่นดิน ซึ่งในขณะที่จัดงานนาฏราชปีนั้น ยังมีความคุกรุ่นของ “ม็อบกีฬาสี” ที่หลายคนคงจำได้

งานประกาศรางวัลนาฏราชเป็นการถ่ายทอดสด ทุกคนที่รับชมจึงได้ยินคำพูดที่กลั่นมาจากใจของอ๊อฟพร้อมกันทั้งประเทศ และอีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลังมันก็กลายเป็นคลิปที่แชร์ในโลกออนไลน์และมียอดวิวจำนวนหลายล้านวิว รวมทั้งฟีดแบ็กในเชิงสะใจ ขอบคุณ และซาบซึ้งกินใจ ที่เหมือนอ๊อฟได้พูดแทนใจคนไทยหลายคน

คำพูดเดียวกันนี้ หากไม่ได้มาจากปากของพงษ์พัฒน์ แต่เป็นคนอื่นที่อาวุโสน้อยกว่านี้ หรือที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิตและการทำงานที่โชกโชนเช่นนี้ คำพูดนี้คงขาดความขลังและน้ำหนักไปมากโข

แต่เมื่อมันออกมาจากปากของคนชื่อ “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” ทำไมมันจึงมีพลังที่ก่อตัวขึ้นรวดเร็ว รุนแรงได้มหาศาลขนาดนั้น

คำตอบก็คือ เพราะความมี “บารมี” นั่นเอง

 

บารมีที่ว่านี้ของอ๊อฟมาจากไหน ก็มาจากการทำงานจริงจังและจริงใจมาตลอดชีวิตที่เข้าวงการมาหลายสิบปี มาจากผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ว่าเขาคือตัวจริงคนหนึ่งของวงการบันเทิงบ้านเรา ไม่ว่าจะรับบทเป็นนักแสดง หรือผู้กำกับฯ ที่อยู่เบื้องหลัง

เขาเต็มที่ ทุ่มเต็มร้อยกับงานที่ได้รับ

นอกจากนั้น อ๊อฟยังเป็นคนจริง ในแง่ของ “การกระทำและคำพูด” เพราะเมื่ออ๊อฟรับปากว่าทำ เขาทำมันอย่างดีที่สุด เขาไม่เคยมีข่าวเสียหายเรื่องขี้โกง บิดพลิ้ว เอารัดเอาเปรียบ หรือดูถูกคนอื่นๆ เลย นั่นคือทำให้คนอื่นๆ รู้สึกชื่นชม และนับถือในความเป็น “คนจริง” ของเขา

ส่วนผลงานที่เดินสายรับรางวัลจากสถาบันต่างๆ ในทุกๆ ปี ก็ยิ่งเสริมให้บารมีของเขาแก่กล้าและเพิ่มพูนมากขึ้น

ทุกคนคงจำผลงานการกำกับฯของเขาที่โดดเด่นได้ ไม่ว่าจะเป็น “ทองเนื้อเก้า” “นาคี” “รากนครา” ซึ่งแต่ละเรื่องก็การันตีคุณภาพด้วยรางวัลสำคัญ ทั้งละครยอดเยี่ยม ผู้กำกับฯ ยอดเยี่ยม นักแสดงยอดเยี่ยม ทั้งนำและสมทบ หรือรางวัลทางด้านโปรดักชั่น อย่าง กำกับศิลป์ เทคนิคด้านภาพ เสื้อผ้า ตัดต่อ เพลงประกอบ ก็กวาดรางวัลมาแล้วทั้งนั้น

อ๊อฟเป็นคนให้เกียรติคน เขาจะพูดถึงคนที่อยู่เบื้องหลังที่ช่วยเขาทำงาน เขาจะให้เครดิตกับนักแสดงที่ร่วมงานกับเขาเสมอเวลาได้รับรางวัล

ไม่แต่ความสำเร็จทางด้านงาน หากชีวิตครอบครัวและชีวิตส่วนตัวของอ๊อฟ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย

 

เขามีข่าวกับผู้หญิงคนแรกเมื่อเข้าวงการคือ แดง-ธัญญา โสภณ เมื่อครั้งจับคู่แสดงเป็นพระ-นางในละครแฟนตาซี “เมฆินทร์พิฆาต” ของเจเอสแอล แล้วเขาก็ไม่มีข่าวกับใครอีกเลย

และพี่น้องในวงการต่างก็ยินดีกับเขาทั้งสอง เมื่อทั้งคู่แต่งงานเป็นสามี-ภรรยากัน และมีลูกสาวลูกชายเติบโตจนมาช่วยงานพ่อแม่แล้ว เรียกว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ ครอบครัวหนึ่งของวงการก็ว่าได้

บารมีที่ว่านี้คงจะลดน้อยลง หากเขาเก่งงานแต่ล้มเหลวในด้านชีวิตคู่หรือครอบครัว แต่สิ่งเหล่านี้อ๊อฟสอบผ่านหมดอย่างงดงาม

ความน่าชื่นชมอย่างหนึ่งของอ๊อฟก็คือ ความจริงใจที่เสมอต้นเสมอปลาย

 

เขากับเจเอสแอล ไม่ได้เจอกันบ่อยนัก เพราะต่างก็ต้องทำงานของตนเองไป โอกาสที่ได้เจอกันบ้าง คือในงานประกาศรางวัลต่างๆ ของวงการที่เขาไปร่วมงานเพื่อรับรางวัล เจอหน้ากันครั้งใดเขาก็ยังแสดงความเคารพรักอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อได้เจอกับผู้ใหญ่ของบริษัทที่เป็นผู้ให้กำเนิดเขาในวงการ เขาก็จะปรี่เข้ามาสวัสดีแบบถึงตัวทุกครั้ง

และเมื่อใดที่มีโอกาสเขาก็มักจะเอ่ยให้เครดิตในฐานะผู้สร้างเขาขึ้นมาเสมอ

อย่างล่าสุดในงานประกาศรางวัล “ไนน์ เอ็นเตอร์เทนอวอร์ด” เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เขาขึ้นไปรับรางวัลละครประจำปีจากเรื่อง “รากนครา” เขาก็พูดขอบคุณต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานที่ได้รับ และเมื่อมองมาเห็นผมที่นั่งมองด้วยความชื่นชมอยู่ เขาก็เอ่ยถึงและให้เกียรติว่าเป็นผู้ที่สร้างเขาขึ้นมา ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยก็ได้เพราะไม่ได้เกี่ยวกับรางวัลที่ได้รับโดยตรง

แต่นั่นคือเขาละ…อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง

 

นอกเวที เราสวมกอดกันอย่างเคย ผมขอบคุณเขาที่กล่าวถึง และเขาก็กอดตอบด้วยความรู้สึกที่แน่นแฟ้นเหมือนเดิม

ที่ว่าเจเอสแอล เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมาจนมีวันนี้ ก็มาจากการที่เขาได้สมัครมาแข่งขันรายการเกม “พลิกล็อค” ที่โด่งดังมากสมัยนั้น ความเป็นนักเรียนพลศึกษา เขาจึงมีรูปร่างดีแบบนักกีฬา ซึ่งเหมาะกับการเป็นนักแสดงมาก

เมื่อถามว่าเขาสนใจงานบันเทิงไหม เขาก็ตอบรับทันทีพร้อมกับไปลาออกจากงานประจำที่เป็นพนักงานขายรองเท้ากีฬา เพื่อตามหาอนาคตใหม่ของเขาที่ต้องเดิมพัน ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่

เมื่อถึงวันนี้ บอกได้เลยว่าเขาสำเร็จอย่างมาก

เป็นความสำเร็จด้วยความตั้งใจ มุมานะ อดทน เรียนรู้ และฝึกฝนตนเองเสมอ จนทำให้เขาสำเร็จและมีบารมีอย่างที่เกริ่นไว้แต่แรก

ขออนุญาตเขียนถึงเขาต่อในฉบับหน้านะครับ

ไม่ว่ากันนะอ๊อฟ