วงค์ ตาวัน : ‘บิ๊กแป๊ะ’ และ ‘ภารกิจสำคัญ’ คดีสงฆ์

วงค์ ตาวัน

ความพยายามนำตัวอดีตพระพรหมเมธีกลับมาดำเนินคดีทุจริตเงินทอนวัด ต้องหยุดนิ่งไป ต้องใช้เวลาอีกนับเดือน เพราะเป็นขั้นตอนการพิจารณาของอัยการและกระทรวงมหาดไทยเยอรมนี ซึ่งจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างพยานหลักฐานการดำเนินคดีที่ตำรวจไทยยื่นให้ทางการเยอรมนีพิจารณา

กับข้ออ้างในการยื่นขอลี้ภัยของอดีตพระพรหมเมธี ที่หวังพึ่งศูนย์ผู้อพยพและลี้ภัยของเยอรมนี โดยคาดหมายว่าฝ่ายอดีตพระพรหมเมธีคงอ้างเหตุที่ว่า กระบวนการดำเนินคดีของกระบวนการยุติธรรมไทยไม่ดำเนินไปอย่างเที่ยงธรรม รวมทั้งน่าจะอ้างสถานการณ์ในยุครัฐบาล คสช. ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มีการปฏิบัติต่อฝ่ายสงฆ์ต่างๆ นานา อะไรทำนองนี้

ด้วยความที่รัฐบาลในประเทศยุโรปจะต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนเหนืออื่นใด ดังนั้น เพียงแค่อดีตพระพรหมเมธีบินมาถึงสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งต้องถูก ตม. กักตัวทันที ตามที่ตำรวจไทยยื่นเรื่องขออายัดตัวผ่านองค์กรตำรวจสากล

แต่เมื่ออดีตพระพรหมเมธียื่นเรื่องขอลี้ภัยทันทีเช่นกัน ก็จะได้รับสิทธิคุ้มครองอย่างทันควัน

ขณะที่ฝ่ายตำรวจไทยนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. อุตส่าห์บินด่วนมาถึงแฟรงก์เฟิร์ตด้วยตัวเอง สุดท้ายก็ต้องบินกลับไทยมารอฟังผล ตามขั้นตอนการพิจารณาดังกล่าว

“ทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา”

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พล.ต.อ.จักรทิพย์เดินทางไปยังกรุงปารีส ฝรั่งเศส เกิดข่าวสะพัดทันทีว่าเป็นการบินไปเพื่อประสานความร่วมมือกับตำรวจสากล เพื่อเดินเกมเอาตัวอดีตพระพรหมเมธีกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ก่อนจะพบข้อเท็จจริงว่า เป็นการเดินทางไปร่วมงานมหกรรมอาวุธ โดย ผบ.ตร.ไทยเป็นแขกรับเชิญของตำรวจฝรั่งเศส ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการไปตามล่าตัวอดีตพระพรหมเมธีแต่อย่างใด

ทั้งนี้เพราะขั้นตอนขณะนี้อยู่นอกเหนืออำนาจของตำรวจไปแล้ว

คาดหมายว่าข่าวลือเรื่องบิ๊กแป๊ะไปฝรั่งเศสเพื่อจะล่าอดีตพระพรหมเมธีให้ได้นั้น จะส่งผลต่อมาในตอนขากลับจากฝรั่งเศสซึ่งไม่มีตัวผู้ต้องหากลับมาแน่ๆ

ลงเอยผลจากข่าวลือ จะทำให้ ผบ.ตร. โดนถล่มว่าคว้าน้ำเหลวอีกแล้ว อะไรทำนองนั้น

ยังดีที่มีภาพหลักฐานยืนยันว่าบิ๊กแป๊ะไปเดินดูอาวุธ ยืนเล็งอาวุธ ภายในงานที่กรุงปารีสจริงๆ!

น่าสังเกตว่า ภารกิจของตำรวจในการสะสางคดีทุจริตเงินทอนวัด ไปจนถึงการจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ แกนนำม็อบ กปปส. ผู้ดุดันและโด่งดัง ที่ลงมือปฏิบัติการพร้อมๆ กัน เป็นการทำงานอย่างเข้มข้นจริงจัง รวมทั้งตำรวจผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ ผบ.ตร. ไม่ค่อยจะเปิดปากให้สัมภาษณ์อะไรมากนัก

แล้วที่น่าสังเกตอย่างยิ่งก็คือ หน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติการใหญ่ครั้งนี้ นำโดย พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และทีมตำรวจกองปราบฯ หน่วยคอมมานโด

โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ลงมาร่วมอำนวยการอย่างใกล้ชิด

หากพิจารณาจากหน่วยปฏิบัติ นายตำรวจที่ลงมาเกี่ยวข้อง และการระมัดระวังในการให้ข่าว

“พอจะรู้กันว่า นี่เป็นภารกิจใหญ่ ภารกิจสำคัญ และต้องรักษาความลับอย่างมาก!”

ขนาด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ดูแลงานตำรวจ ยังไม่ได้รับรายงานล่วงหน้าก่อนปฏิบัติการด้วยซ้ำ

จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาขอโทษอดีตพระพุทธะอิสระ ในกรณีที่หน่วยคอมมานโดบุกเข้าไปจับถึงภายในกุฏิ เพราะรู้ว่าเหตุการณ์นี้ช็อกเหล่าแกนนำม็อบนกหวีด ซึ่งเป็นม็อบที่มีส่วนสำคัญในการเปิดทางให้ คสช. เข้าสู่อำนาจ

“ขอโทษ เพราะตนเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้!”

กรณีคอมมานโดบุกวัดอ้อน้อย อาจจะสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับแกนนำม็อบนกหวีด เพราะทำใจยอมรับไม่ได้ว่า ในยุครัฐบาลทหารที่พวกตนเปิดประตูทำเนียบให้เข้ามาแท้ๆ กลับมีการบุกชาร์จจับแกนนำคนสำคัญขนาดนี้

แต่เสียงโวยวายไม่พอใจปฏิบัติการของคอมมานโดก็ค่อยๆ ซาลงไป

ด้านหนึ่ง อาจจะเริ่มรับรู้ว่า ตำรวจทำงานครั้งนี้ขึงขังจริงจัง และเป็นภารกิจสำคัญ ที่ระดับรัฐบาลก็ไม่อาจเกี่ยวข้องได้

อีกด้าน กระแสสังคมโดยทั่วไปล้วนเห็นว่าการบุกเข้าไปในอาณาจักรวัดอ้อน้อย จำเป็นที่ต้องใช้คอมมานโดและทำงานอย่างเด็ดขาดฉับไว เนื่องจากอาจจะมีการ์ดอันดุดันของพุทธะอิสระ หรือมวลชนมาก่อม็อบขัดขวางได้

“พฤติกรรมใครแตะกรวยเป็นถูกยิงในช่วงชุมนุม กปปส. ทำให้ประชาชนทั่วไปมองออก และสนับสนุนให้ตำรวจทำงานด้วยความดุดันเด็ดขาด!”

จะเห็นได้ว่าปฏิบัติการใหญ่เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ที่พระเถระใหญ่พร้อมพระแกนนำม็อบ กปปส. ถูกจับกุมพร้อมกันนั้น

มีพระเถระบางส่วนที่ไม่ได้ตัวในทันที แต่ก็ยอมเข้ามอบตัวในเวลาต่อมา

“ยกเว้นอดีตพระพรหมเมธีที่หนีเตลิด ไม่ยอมให้จับ ไม่ยอมมอบตัวเด็ดขาด”

นั่นน่าจะเป็นเพราะมีการพบว่าอดีตพระพรหมเมธี ไม่เพียงแค่ต้องคดีฟอกเงินทุจริตเงินทอนวัด แต่ยังมีพฤติกรรมเสื่อมเสียร้ายแรง มีสีกาใกล้ชิด

“สำคัญสุดคือนำสีกาใกล้ชิดดังกล่าวร่วมออกงานพิธีใหญ่ งานพิธีสำคัญๆ ด้วย!!”

ประเด็นนี้แหละ ที่ถือว่าเสื่อมเสียหนักหน่วง กระทั่งเชื่อว่าเป็นเหตุให้เจ้าตัวตัดสินใจต้องหนีสถานเดียว

เมื่อตำรวจได้ร่องรอยว่าอดีตพระพรหมเมธีหลบหนีไปยังชายแดน มีการระดมทีมสืบสวนออกไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด ก่อนจะพบว่าหลบหนีข้ามโขงไปยังฝั่งลาวแล้ว นั่นเอง พล.ต.อ.จักรทิพย์ถึงกับเดินทางไปติดตามด้วยตัวเอง ด้วยถือว่าเป็นภารกิจสำคัญ ต้องเอาตัวมาให้ได้ ทั้งจะได้อาศัยความสัมพันธ์กับนายตำรวจใหญ่ฝั่งลาว เพื่อให้ช่วยติดตามตัวอีกทาง

การที่อดีตพระพรหมเมธีเป็นรายเดียวที่หนีเตลิด และการที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ต้องไปตามจับเอง เป็นเรื่องที่น่าจะวิเคราะห์ถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

จากนั้นเมื่อได้เบาะแสสำคัญว่าอดีตพระพรหมเมธียังหนีต่อไปยังกัมพูชา เชื่อแน่ว่าจะหนีไปยังประเทศอื่นอีกทอด พล.ต.อ.จักรทิพย์จึงรีบประสานตำรวจสากล ให้ช่วยอายัดตัวผู้ต้องหาตามหมายจับของตำรวจไทย

“สุดท้ายก็ได้รับรายงานว่าพระพรหมเมธีไปถูกกักตัวที่ ตม.แฟรงก์เฟิร์ต นั่นจึงทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ต้องบินด่วนไปทันที หวังจะยับยั้งกระบวนการขอลี้ภัยให้ได้”

แต่ด้วยกระบวนการคุ้มครองของประเทศในยุโรป ทำให้อดีตพระพรหมเมธียังมีโอกาสได้หายใจหายคอ เพราะเตรียมการเรื่องยื่นขอลี้ภัยไว้พร้อมแล้ว

“จากนี้ไปจึงต้องรอผลการพิจารณาของทางการเยอรมนี”

กระนั้นก็ตาม ภาพรวมของการสะสางคดีเงินทอนวัด ดำเนินคดีกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่กราวรูด รวมไปถึงดำเนินคดีกับอดีตพระแกนนำม็อบ กปปส. ผู้ดุดัน บัดนี้เป็นสัญญาณที่วงการสงฆ์ทั่วทั้งหมดพอจะเข้าใจดีว่า

เป็นสัญญาณการจัดระเบียบสงฆ์ให้กลับมาสู่การทำหน้าที่ผู้ทรงศีลอยู่ในกรอบ เลิกพุทธพาณิชย์ เลิกหากินกับไสยศาสตร์ เลิกการทุจริตเงินทอง ยิ่งกรณีอดีตพุทธะอิสระที่โดน 2 ข้อหา ยังหมายถึงเลิกการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง และเลิกยุ่งการเมือง ถึงขั้นเป็นผู้นำม็อบบู๊ดุดัน อันไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่ดีงาม

อนาคตวงการสงฆ์ไทย อาจจะเปลี่ยนโฉมให้เห็นครั้งใหญ่!