วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ อาหารเที่ยงมื้อนั้น

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์  

  

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

อาหารเที่ยงมื้อนั้น

 

อาหารหลากหลายชนิด เป็นอาหารนานาชาติจัดไว้บนโต๊ะกลางห้อง แขกเหรื่อทั้งฝรั่งทั้งไทย หยิบจานเดินรอบ ตักอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ใส่จานของตัวเอง

อุทัยยังไม่เบื่ออาหารฝรั่ง จึงตักใส่จานหลายอย่าง แล้วบอกให้จงจิตตักบางอย่างที่ตัวชอบ อ้างว่าอร่อยดี ซ้ำบางอย่างยังตักให้เสียอีก เมื่อได้ปริมาณพอควรจึงกลับมาที่โต๊ะตามเดิม

โต๊ะข้างเคียงเป็นฝรั่งสองคนผัวเมีย ตัวผัวค่อนข้างสูงอายุ แต่เมียยังสาวพริ้ง จงจิตสังเกตการแต่งตัวของเมียค่อนไปทางฝรั่งเศส และหายสงสัยเมื่อได้ยินสำเนียงพูดคุย

“ผู้หญิงฝรั่งเศสนี่แต่งตัวมีรสนิยมเหลือเกินนะคะ คุณดูที่โต๊ะข้างเรานี่สิ ผัวแก่เมียยังสาวพริ้ง แต่งตัวเหลือกินจริงๆ” จงจิตชวนคุย

อุทัยชำเลืองมอง พลางว่า “ผมว่าสู้ผู้หญิงไทยไม่ได้หรอก แต่งตัวได้ทุกแฟชั่น ขอให้เป็นแฟชั่นที่ตกเข้ามาใหม่เถอะ เป็นแต่งทั้งนั้น ไม่ดูว่าตัวเองเหมาะสมหรือไม่” อุทัยออกความเห็น เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ การไปอยู่อเมริกาหลายปี ทำให้หูตาเขากว้างขวางพอสมควรในเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่ค่อยสนใจนัก

จงจิตค้อนด้วยสายตา “อย่ามาว่าเค้านะ”

“เปล๊า…ผมไม่ได้ว่าคุณ นี่พูดตามที่เคยเห็น” อุทัยรีบแก้ตัว ทั้งที่จงจิตพูดออกไปอย่างนั้นเอง ความจริงเธอเห็นด้วยกับความเห็นของเขา

“แต่บางทีช่วยไม่ได้เหมือนกันนะคะ เช่นพวกที่เขาว่ามีรสนิยมสูงรายได้ต่ำอะไรอย่างนั้นน่ะ รู้ว่าตัวเองแต่งอย่างเขาไม่ได้ก็ยังอุตส่าห์…” จงจิตพูดค่อนข้างจริงจัง  “แต่พวกรายได้สูงรสนิยมต่ำน่าสมเพชกว่า พวกนี้ขอให้ได้แต่ง หรือขอให้ของใหม่เถอะ เป็นเอาทั้งนั้น”

“เดี๋ยวนี้ค่อยยังชั่วขึ้นแยะแล้วนะครับ ผมว่า ค่อยรู้จักหันมาดัดแปลงใช้ของไทยกันมากขึ้น แต่อย่างว่านั่นแหละ ของไทยเองบางอย่างก็เอามาใช้ไม่ไหว แพงเกินไปบ้าง ไม่แพ็กติเคิลบ้าง คนจึงนิยมใช้ของนอกกันเพราะเหตุนี้”

“ไม่จริงหรอกค่ะ อันนี้อยู่ที่รู้จักเลือกใช้ ถ้าใช้เป็น รู้จักเสาะหาจะได้ของดีไปเอง” จงจิตค้าน

อุทัยพยักหน้าเห็นด้วย ระหว่างความคิดนั้น เขาคิดเลยไปถึงการเดินทางในช่วงบ่ายที่ต้องออกไปเยี่ยมใครต่อใครอีกหลายคน

ทั้งสองต่างกินอาหารต่อ ไม่พูดคุยกันระหว่างนั้น จนอุทัยเลื่อนจานออกจากที่ พอดีกับจงจิตกินเสร็จเช่นเดียวกัน “คุณจะรับของหวานหรือผลไม้ไหม” จงจิตเอ่ยถาม

อุทัยเช็ดริมฝีปาก “คุณลองไปดูมาซิ มีอะไรทานบ้าง เมื่อกี๊เห็นว่ามีไอติมไม่ใช่หรือ… เปล่า-เปล่า ผมไม่เอา ขอกาแฟอีกถ้วยก็พอ”

ทำความสะอาดในปากคร่าวๆ แล้วอุทัยหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ นั่งคิดถึงงานที่บริษัทในอีกสองสามวัน แต่แล้วสลัดความคิดนั้นออกเสีย เมื่อคิดว่าวันนี้เป็นวันพักผ่อน

ความคิดเปลี่ยนไปที่จงจิต–ผู้หญิงที่เขาปรารถนาจะร่วมสุขร่วมทุกข์ แต่งงานด้วย

 

ผู้หญิงคนนี้เขาเคยเมียงมองไว้ตั้งแต่วัยรุ่น แต่ความกระดากขัดเขินเมื่อก่อน จึงไม่กล้าที่จะพูดถึงความรักกับเธอ

เมื่อกลับจากอเมริกา ได้พบเธออีกครั้ง รู้ว่าจงจิตยังไม่ได้แต่งงาน รู้สึกดีใจ เหมือนกับว่าเธอรอเขาอยู่ กระนั้นยังไม่แน่ใจว่าเธอมีใครอื่นหรือเปล่า หลังจากที่ถามแม่ จึงทราบว่าเธอเคยมีคนรักมาแล้วคนหนึ่ง และเพิ่งเลิกร้างไปเมื่อสองปีมานี้เอง จากนั้นคงยังไม่มีใครอื่นอีก อุทัยจึงพยายามใช้ความสนิทสนมที่เคยมีมาแต่เดิมเข้าใกล้ชิดเธอ

แม้ที่สุดให้แม่ไปพูดจาหาหนทางไว้กับแม่ของจงจิต กระทั่งถึงวันนี้ วันที่ความรักเริ่มสุกงอม…

จงจิตเดินถือจานใส่ขนมและผลไม้มาสองจาน จานหนึ่งสำหรับเธอ มีไอศกรีมวางมาด้วย “เอ้า นี่ของคุณ” เมื่อเธอวางจานขนมทั้งของอุทัยและของตัวเองลงบนโต๊ะ อุทัยกลับชะโงกหน้าดูในจานของจงจิต

“ไอติมนี่คงอร่อย” อุทัยว่าพลางมองอย่างอยากลิ้มรส แล้วหยิบช้อนขึ้นตัก “ขอชิมสักคำซิ… อ๊ะ… เข้าท่า”

“เอามั้ย จะไปตักให้” จงจิตเอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น ทำท่าจะลุกขึ้น

อุทัยโบกมือห้าม “ไม่ต้องๆ ผมขอคำเดียวพอแล้ว”

 

จากนั้นทั้งคู่เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อยๆ อุทัยพูดถึงภัตตาคารในนิวยอร์คเปรียบกับภัตตาคารในลอสแองเจลิส แม้ว่าเขาจะเคยคุยเรื่องของอเมริกาให้จงจิตฟังทุกครั้งที่พบกัน แต่เรื่องคุยไม่มีวันจะหมดไปง่ายๆ

เกือบ 14.00 น. อุทัยจึงเรียกบริกรมาเก็บเงิน “เดี๋ยวจะไปไหนก่อน” อุทัยถามขึ้นระหว่างรอเงินทอน

จงจิตคิดขณะสายตามองออกไปด้านข้างสว่างจ้าด้วยเปลวแดด เลยคิดไม่อยากจะไปไหนด้วยการนั่งรถ แม้ว่าแดดที่ด่านอุดมจะร้อนแรงกว่าที่นี่มาก แต่เป็นแดดที่บริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษเจือปน “แดดยังจัด ฉันว่าเดี๋ยวไปเดินเล่นด้านหลังโรงแรมกันก่อนดีกว่า ไปดูสวนสัตว์สักชั่วโมง บ่ายสามค่อยไปดีไหมคะ”

“ดีเหมือนกัน ข้างหลังมีสวนสัตว์ด้วยหรือ ผมมาตั้งหลายครั้งไม่ยักรู้” อุทัยคล้อยตาม เก็บเงินทอนที่บริกรวางมาในถาด เหลือบางส่วนไว้เป็นค่า  “ทิป” แล้วลุกขึ้น “ไป”

จงจิตเอื้อมหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่ออกเดินตามอุทัยไปประตูด้านนอก แล้วเธอพาเดินลัดเลาะไปทางหลังโรงแรม ผ่านสระว่ายน้ำ ฝรั่งชาย-หญิงนั่งนอนอาบแดดบนเตียงผ้าใบ อ่านหนังสือ คุยกัน ดื่มเบียร์ หรือทำอะไรตามใจชอบ ไม่มีใครสนใจใคร

ผ่านสนามหญ้าเขียวขจีกลางแสงแดด สีเขียวทั้งของหญ้าและของต้นไม้ใหญ่ใบไม้ร่มรื่น ทำให้อากาศโปร่ง ทั้งยังห่างไกลจากถนนซึ่งเต็มไปด้วยควันพิษ อากาศจึงค่อนข้างบริสุทธิ์

จงจิตพาอุทัยเดินไปตามทางลดเลี้ยว พร้อมอธิบายว่า สวนสัตว์นี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของวังสระปทุมและโรงแรม ขนาดเล็กน่ารัก แล้วหยุดตรงกรงชะนีขนขาวขนดำหลายตัว มันห้อยโหนดูสนุก บางตัวมาเกาะลูกกรงมองเธอและเขาตาแป๋ว

แววตาของจงจิตร่าเริงราวเด็กได้ของเล่นถูกใจ เธอเอื้อมมือไปลูบขนมันเล่นอย่างเอ็นดู ชะนีตัวดำใหญ่ยื่นมือออกมาจับมือของเธอไว้เช่นกัน ก่อนเดินออกมาอีกทาง แม้อุทัยจะเดินตาม แต่ดูเหมือนเธอไม่ค่อยสนใจสักเท่าใด

ขณะที่เธอเหมือนจะพูดกับชะนี ปะปนกันจนเกือบแยกไม่ออกว่าเธอพูดกับชะนีหรือกับเขากันแน่