ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มิถุนายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | หน้า8 |
เผยแพร่ |
“รวยกระจุก จนกระจาย”
คำสั้นๆ คำนี้กลายเป็น “หอก” แหลมที่ทิ่มแทงใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ตัวเลข GDP 4.8% ที่รัฐบาลภาคภูมิใจกลับไม่มีใครพูดถึง
ไม่มีกระแสตอบรับจากตลาดหุ้นหรือภาคเอกชน
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ “ภาคประชาชน”
นอกจากไม่มีเสียงตอบรับทางบวกแล้ว
โพลทุกโพลที่ออกมาตั้งแต่วันแรกที่ คสช. เข้ามาจนถึงวันนี้
ชัดเจนว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของประชาชนที่เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขก็คือเรื่องเศรษฐกิจ
ไม่มีโพลไหนบอกเลยว่า “เศรษฐกิจ” ดี
ตัวเลข GDP จึงไร้ความหมาย
เพราะเมื่อประชาชนล้วงมือลงไปควานหาเงินในกระเป๋า
เงินในกระเป๋ากลับน้อยลงกว่าเดิม
หรือไม่มีเลย
มีคนพยายามอธิบายว่าทำไมตัวเลข GDP จึงสูงถึง 4.8% แต่ประชาชนไม่รู้สึกว่ามีเงินมากขึ้น
ตัวเลขผลกำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่สูงกว่าตัวเลข GDP หลายเท่าตัว
หรือความร่ำรวยของมหาเศรษฐีทั้งหลายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ประชากรที่ยอดพีระมิดรวยขึ้นอย่างแรง
นั่นคือเหตุผลที่ GDP จึงขยับขึ้นเป็น 4.8%
แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศกลับรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี
ยิ่งนานวัน คำว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” จะยิ่งปักลึกลงในใจคน
ไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์จึงเริ่มร้อนใจ
เพราะรู้ดีว่าเมื่อถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
“คนรวย” หรือ “คนจน” จะมีสถานะเท่าเทียมกันทันที
เพราะทุกคนมี 1 เสียงเท่ากัน
มีคนบอกว่าตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงว่าเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ลงกว่าเดิม
คือ การที่ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร หรือ “ตั๊น” ยื่นขอความช่วยเหลือเงินประกันตัวจากกองทุนยุติธรรม
“ตั๊น” นั้นเป็นทายาทธุรกิจของตระกูลภิรมย์ภักดี
มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
เป็นลูกสาวของ “จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด
มีเงินไปเรียนต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ
ก่อนการยึดอำนาจ เธอยังเป็นลูกสาวเศรษฐี
แต่เพียงแค่เวลาไม่กี่ปี แค่เงินประกันตัวเธอยังต้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม
ซึ่งเป็นกองทุนสำหรับ “ผู้มีรายได้น้อย”
แบบนี้จะบอกว่าเศรษฐกิจดีได้อย่างไร