การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เมื่อไม่สามารถกลับเข้าไป

ฉันอยากจะคิดถึงใครสักคน ในบางเวลา ที่หัวใจหาจุดหยุดไว้ไม่เจอ

แต่ฉันจะคิดถึงใครดี…คนไหนใครกัน ที่จะทำให้หัวใจฉันท่วมท้นไปด้วยความสุขได้อีกสักครั้ง

อาจเป็นเสียงหัวเราะที่ใสเหมือนแก้ว กระดิ่งจักรยาน ลมที่พัดผ่านเนื้อตัว และความแวววาวของต่างหูคู่ใหญ่อันนั้น

ในยามที่ฉันยังคงจดจำ…อยู่อย่างเงียบเชียบ

กับจูบรสแอปเปิลใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่ง

…แต่ก็เถอะ หรืออาจเป็นอีกคนหนึ่ง ที่สอนฉันให้รู้จักคำว่าแสงแดดในดวงตา มือที่เอื้อไออุ่นเข้ามาหา ผมถักเปียยาวๆ นั่นด้วย

พวกคุณสวยเหลือเกิน ช่างสวยจับใจ

จนกระทั่งฉันแทบมองไม่เห็นใครสวยงามอย่างนั้นได้อีก

แม้แต่…เด็กผมขอดข้างหน้า

 

ในแสงไฟตะเกียงวามแวม กลิ่นน้ำมันก๊าดโชยฉุนมา ปิมปานั่งพับเพียบอยู่ข้างฝา กำลังตั้งใจขีดเขียนอะไรอยู่ในสมุด ใช้ลังกระดาษใบหนึ่งแทนโต๊ะเตี้ยๆ

ไฟดับมาตั้งแต่หัวค่ำ และไม่มีทีท่าจะกลับมาสว่างได้ จนกว่าเราจะผ่านไปถึงเช้าวันพรุ่งนี้

แต่มันอาจดีก็ได้ เพราะเมื่อแหงนมองพ้นชายคาบ้านไป จะเห็นกลุ่มดาวสุกใสระยิบระยับหมื่นแสนดวงจนเต็มฟากฟ้า

ยายร่อยจะไม่อยู่สามวัน ลูกชายคนโตมารับไปขึ้นเรือนใหม่ในต่างอำเภอ แต่ปิมปาไปด้วยไม่ได้เพราะติดต้องไปโรงเรียน

“โชคดีที่ยังมีมัน” ยายร่อยพูดกับพ่อแม่อย่างนั้น “ขอมันไปนอนเฝ้าบ้านเป็นคู่อีปิมหน่อยเทอะ”

มีหรือพ่อแม่จะไม่ให้

“ไปสิ พี่จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ” พ่อว่า

แรกนั้น ฉันเองไม่อยากทำตามคำขอยายร่อยเท่าไหร่ แต่ก็ใจอ่อนเมื่อนึกถึงแววตา

…ที่บางครั้งดังลูกหว้าแก่จัด ราวใกล้จะพลัดหล่น

สุดท้าย ฉันก็เข้ามาอยู่ในบ้านยายร่อย เพื่อจะทำตัวเป็นญาติที่ดี

 

ราวรู้ว่ามีคนจ้องมอง ใบหน้าขาวเงยขึ้น แล้วเปิดรอยยิ้มสว่าง

“มองอะไรคะ”

“ก็มองปิม” ปากฉันตอบออกไป

“มองอะไรนักหนา”

ดัง…จะมีจริตขึ้นมา สายตาค้อนควัก หากยังสบตาอยู่

เด็กนี่รู้…เด็กนี่รู้เดียงสากว่าที่คิดไว้เสียอีก

“ไม่มีอะไร” ฉันเว้นวรรคชั่วอึดใจหนึ่ง “รีบๆ ทำการบ้านให้เสร็จเถอะ”

 

ในแสงไฟตะเกียง ใบหน้าของเด็กผมขอดดูผิดแผกตา เหมือนว่าเด็กหญิงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในคืนนี้

หรือบางที อาจเติบโตขึ้นตั้งแต่วันไปตกปลา

“ใกล้แล้วค่ะ ถ้าพี่ง่วง…”

“ยังไม่ง่วงหรอก” ฉันรีบตัดบทเสีย

“…พี่คะ”

“หือ?”

“ปิมกับยายกวนพี่หรือเปล่า”

“ทำไม”

“ก็…ที่ต้องให้พี่มานอนนี่”

“จะถามไปทำไม” ฉันลงเสียงหนัก

เด็กผมขอดหน้าเสีย

“อันที่จริง ปิมก็พออยู่ได้”

นั่นยังไง พูดยังไม่ทันขาดคำตัวเอง ก็เหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงขึ้นชื้นตา เด็กคนนี้ยังคงขี้แยอย่างนี้มาตลอดเลยหรือ

“ไม่เป็นไรหรอก” ฉันขยับเหยียดขาออก พิงหลังกับฝาไม้ “ยังไงก็มาแล้ว”

 

มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาจากเส้นผมยาวสยาย

ฉันกำลังซ้อนท้ายรถเครื่องคันหนึ่ง โลดแล่นไปในสายลม และใบหน้าที่เอี้ยวมานั้นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเริงร่า

นางฟ้า

นางฟ้าของฉัน

เธอที่เสกแสงตะวันลงมาได้

เธอที่ปลุกเสกใบไม้

ให้กลายเป็นสายลมรื่นรมย์ทวี

นางฟ้า

นางฟ้ากำลังโบยปีกมาแล้ว

ที่นี่

อยู่กับฉันตรงนี้…

บอกกับฉันที

ว่าจะรักจะกอดฉัน

 

“พี่คะ”

เกือบสะดุ้ง เหมือนจู่ๆ ก็ถูกกระชากให้กลับมา ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าหายวับ กลิ่นหอมสิ้นไร้ ลืมตาขึ้น พบเพียงเปลวไฟในตะเกียงริบหรี่

และเด็กผมขอดอยู่เบื้องหน้า

“ปิมทำเสร็จแล้วค่ะ…พี่คงง่วงมาก เข้านอนกันเถอะนะคะ”

ฉันขยับตัว อีกครู่หนึ่งถึงจะชินตากับความสลัวราง

…แค่ความฝัน

จึงได้เพียงพยักหน้า

“ไปนะคะ” เด็กผมขอดเป็นฝ่ายจับจูงมือให้ลุกขึ้น

 

ห้องนอนของยายร่อยมีกลิ่นสาบอับๆ คงมาจากผ้าห่มกับสะลีที่นอนเก่าคร่ำคร่า ยายร่อยไม่สูบบุหรี่กินเหมี้ยง ไม่มีกลิ่นเหมือนยาย แต่คล้ายจะมีกลิ่นอื่นๆ รุนแรงกว่า

แต่ช่างเถอะ ยังดีที่เมื่อเด็กผมขอดกระถดตัวเข้ามุ้งมา ก็ได้กลิ่นแป้งหอมเจือมากลบเกลื่อนบ้าง

“เอามุ้งลงแล้วนะคะ”

“อือ”

ไม่นานนัก ร่างอุ่นผ่าวก็ลงนอนข้างๆ แล้วต่างฝ่ายต่างก็นอนหงาย

ฉันหลับตา

…อยากจะกลับไปหาถนนนั้นอีก

แม้จะเป็นเพียงในฝัน

ทว่า กำลังจะเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกอีก

“พี่…”

ไม่ทันจะได้ตอบ ยินเสียงเรียกซ้ำ

“พี่คะ”

แล้วความนุ่มนวลหนึ่งก็เบียดเข้ามาหา

“ขอปิมกอดพี่หน่อยได้ไหมคะ”

อดชะงักไม่ได้ จริงแล้วไม่ได้แปลกอะไร หากญาติผู้พี่ผู้น้องจะนอนกอดกัน ฉันก็เคยกอดน้องนอนอยู่บ้างเป็นบางครั้ง

หากอะไรสักอย่าง ทำให้รู้สึกต่างออกไป

หรืออาจเพราะ…สิ่งที่เคยเผลอไผล ใต้ร่มไม้ใกล้ขอบบึงวันนั้น…

เมื่อยังไม่ได้ยินคำตอบ เด็กหญิงคงคิดว่าคือการไม่ปฏิเสธ แล้วแขนกลมกลึงก็พาดมา

 

ฉันจะบอกเด็กหญิงได้อย่างไรว่า ไม่ได้มีเทวดาในตัวฉัน แต่มีผีร้ายและความมืดเหล่านั้นต่างหากที่ยังหลอกหลอนวนเวียน

แม้แต่ในยามที่ฉันฝันถึงนางฟ้า

และแอบคิดว่า อยากให้ความคิดถึงมีจุดสุดสิ้นลง…ที่ไหนสักแห่ง

เด็กผมขอดหายใจแรงขึ้น จนได้ยินเสียงอันสั่นไหว

“…พี่ยังไม่ง่วงเหมือนกันหรือคะ”

ฉันไม่พยักหน้า หากด้วยเหตุใด ความตั้งใจจะผละออกกลับกลายเป็นการรั้งตัวเองกลับเข้า

เด็กหญิงเข้ามาอยู่ในอ้อมอกตั้งแต่เมื่อไหร่

“…พี่คะ”

ฉันเกลียดเสียงนี้เสียจริงเชียว เสียงเดียวกับที่เรียกฉันเอาไว้ไม่ให้ลิ่วลอยไปกับนางฟ้าตนนั้น

เธอที่เคยปรานีต่อฉัน และบอกกับฉัน

ว่าชีวิตเราจะดีขึ้นในสักวันหนึ่ง

“…พี่จะทำอะไรคะ!”

 

“อย่าเพิ่งพูด” ฉันกดปากเข้ากับใบหู “อยู่นิ่งๆ”

เด็กหญิงสลัดขา และปลายนิ้วเท้าก็กดลงกับสะลี ฉันโหย่งตัวขึ้น ชะโงกมองเหนือใบหน้า ไม่อาจเห็นสิ่งใดในความมืดของห้องหับ แต่นั่นคือสิ่งที่ดีสำหรับเรา

ปิมปาสะดุ้ง และเผลอส่งเสียงเบาๆ วันที่เราไปตกปลากัน นั่นแค่การจูบหอมบางเบา แค่เอาริมฝีปากไล้กัน

คืนนี้ฉันคงต้องทำมากกว่านั้น ซึ่งมันอาจเป็นความตั้งใจของฉัน

เมื่อไม่สามารถกลับเข้าไปในโลกแห่งฝัน…