อนุสรณ์ ติปยานนท์ : อาหารยามจาริก (9)

My Chefs (38) อาหารยามจาริก (9)

พวกเรากินอาหารกันเงียบๆ

เห็ดสนของไคลน์มีความนุ่มนวลและมีกลิ่นสนแฝงอยู่เมื่อลิ้นของเราสัมผัสมัน

ผมรู้สึกได้ว่าอาหารจากธรรมชาติไม่ได้มีความหมายถึงอาหารที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติเท่านั้น

แต่ยังหมายถึงอาหารที่ถูกปรุงและกินในผู้คนที่อยู่ในถิ่นฐานเดียวกับธรรมชาตินั้นด้วย

ผมจัดการซุปเห็ดจนหมด ก่อนจะพักจุดบุหรี่ขึ้นสูบ

ในขณะที่ไคลน์เริ่มต้นอาหารจานหลักของเขาแล้ว ผมชอบนั่งพิจารณาผู้คนในระหว่างที่พวกเขากินอาหาร

ท่วงท่าแห่งการกินบ่งบอกในหลายๆ สิ่ง อาทิ ท่วงท่าของไคลน์ในขณะนี้ เขารับประทานอาหารทุกอย่างด้วยความเงียบ เนิบช้า ราวกับการทำสมาธิ

ดูเหมือนว่าเขากำลังทำความเคารพอาหารทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปในร่างกายของเขา

อากัปกิริยาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยพบเห็นในเขามาก่อนเลย

อีกสิบนาทีต่อมา ผมเริ่มต้นตักเนื้อปลานึ่งลงใส่จาน ปลานิลนั้นเป็นปลาน้ำจืดในระบบอุตสาหกรรมที่เราพบได้ทั่วไปในอุษาคเนย์

ในประเทศลาว เมนูที่เราพบบ่อยที่สุดคือปลาย่างเกลือ ผู้คนที่นี่จะทาปลาด้วยเกลือจนขาวโพลน หลังจากนั้นเขาจะย่างมันด้วยเตาถ่าน

บางคนนิยมใส่สมุนไพรลงไปทางปากของปลา

บางคนนิยมทากระเทียมไปทั่วๆ ตัวปลา

บางคนนิยมกินมันกับพริกสดที่ถูกตำจนละเอียด และบางคนนิยมกินมันกับน้ำปลาที่บีบมะนาวลงไปผสม

แต่ไม่ว่าอย่างไรมันเป็นปลาที่ได้รับความนิยมในการเป็นอาหารมื้อหลักอย่างถ้วนทั่วกัน

แต่การนึ่งด้วยดอกไม้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะ

ผมเคยพบปลาแม่น้ำที่ถูกนึ่งด้วยดอกแคที่จังหวัดน่าน ปลานิลนึ่งด้วยดอกกระเจียวที่จังหวัดชัยภูมิ ปลาเทโพนึ่งด้วยดอกข่าที่จังหวัดอุบลฯ

การนึ่งปลาด้วยดอกไม้นั้นเป็นศาสตร์ที่เกิดจากการคิดค้นของผู้คนที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยแท้

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ การทำให้เนื้อปลาไม่ติดกับกระทะหรือที่นึ่ง องค์ความรู้เหล่านี้อาจเกิดขึ้นเพราะโชคช่วยหรือไม่ก็ตาม

แต่มันถูกหล่อเลี้ยงให้ดำรงอยู่ด้วยผู้คนที่เห็นคุณค่าของมันแน่นอน

ผมจัดการเนื้อปลานิลนั้นในครึ่งชั่วโมงก่อนจะช่วยไคลน์เก็บกวาดทุกอย่างกลับเข้าไปในครัว แสงจันทร์จางส่องลงมาต้องที่พักของเรา

ไคลน์เปิดเบียร์ลาวขวดใหญ่สองขวดสำหรับผมและเขา

ก่อนที่จะทำตามสัญญา เขาเริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับการกลับมาจากถ้ำแห่งนั้น

“หลังจากที่แม่ของกันท่องบกกวีบทนั้นจบลง ภาพของแม่ก็สลายหายไป ผนังถ้ำที่เคยเป็นกระจกใสกลับเป็นผนังหินสีดำแทน ความมืดในถ้ำที่เคยมีมาตลอดทางกลับแปรเปลี่ยนเป็นความสว่างไสว กันพบว่าตนเองกำลังหลับสนิทอยู่ในเรือที่ลอยนิ่งอยู่กับที่ในถ้ำ คนเรือผูกเรือไว้กับหลักที่เขาทำขึ้นอย่างหยาบๆ มีเรือลำอื่นแล่นสวนไปสวนมา คนเรือบอกกับกันว่าระหว่างที่เขากำลังพายเรืออยู่นั้น กันก็บอกเขาว่ากันอยากพักนอนสักครู่ และไม่ทันขาดคำกันก็หลับสนิทลง เขาตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก จะพากันกลับไปยังที่ท่าก็ดูจะขัดกับคำสั่ง จะปลุกกัน กันก็ไม่ยอมรู้สึกตัวเอาเลย ในที่สุดเขาตัดสินใจจอดเรือเทียบกับผนังถ้ำ นั่งรอเวลาให้กันตื่นขึ้นอีกครั้ง สิบนาที สิบห้านาที ครึ่งชั่วโมง จนในที่สุดกันก็ตื่นขึ้นจริงๆ กันตื่นขึ้นหลังจากหลับไปในถ้ำนั้นนานถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม”

“กันขอให้คนเรือออกเรือ ทุกอย่างกลับสู่ความปกติ แสงแดดเจิดจ้า โลกปัจจุบัน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเพียงการหลับใหลลงเพราะความเหนื่อยอ่อนเท่านั้น แต่กันรู้ดีว่าไม่ใช่เช่นนั้น ภาพของแม่ที่ปรากฏตัวขึ้นต่อกันเป็นสัญญาณที่เสมือนดังการบ่งบอกของแม่ว่ากันควรละทิ้งความโศกเศร้าเพราะการจากไปของท่านได้แล้ว เวลาแห่งความอาลัยควรจะจบสิ้นลงได้แล้ว มันควรหลงเหลือเพียงเวลาแห่งการจดจำ”

“กันตัดสินใจเมื่อกันขึ้นเรือที่ท่า กันจ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้กับคนเรือ ตรงไปยังร้านขายของที่ระลึกบริเวณนั้น กันสั่งเบียร์ฮานอยหนึ่งกระป๋อง นั่งลงในร้านและครุ่นคิดว่าจะจัดการชีวิตอย่างไรดี กันไม่ควรหนีอีกต่อไป กันไม่ควรทำตัวเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตที่ไม่อาจยอมรับความจริงของชีวิตได้ แม่ของกันจากไปแล้ว มีแต่การยอมรับความจริงนี้ กันจึงจะสามารถเดินหน้าต่อไป”

“กันดื่มเบียร์จนหมด ซื้อเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นจากที่ร้าน ก่อนจะเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ หลังจากนั้นกันโยนเสื้อผ้าทุกอย่างของกันลงขยะ นั่งรถต่อไปที่เว้ กันใช้เวลาอยู่ที่โรงแรมเล็กที่นั่นเป็นสัปดาห์ ครุ่นคิดว่ากันมีประโยชน์เช่นไรต่อโลกนี้บ้าง และกันสามารถใช้ความรู้ที่มีทำสิ่งใดที่ทำให้ผู้คนรอบตัวเจริญงอกงามได้ อาหาร กันสรุปในที่สุด”

“ความรู้ด้านอาหารของกันผนวกกับจิตวิญญาณผจญภัยน่าจะทำให้กันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ กันมองดูแผนที่ ที่ใดล่ะที่กันควรจะอยู่ เวียดนามนั้นมีผู้คนที่มากเกินไป ประเทศไทยของนายก็แทบไม่ต่างจากดินแดนตะวันตกในเรื่องของค่านิยมและรสนิยม”

“กันตัดสินใจเลือกประเทศลาว กันคิดถึงการทดลองทำงานเกี่ยวกับอาหารชีวภาพ ถ้ากันสามารถลดการบุกรุกป่า ถ้ากันสามารถฟื้นฟูธรรมชาติได้ผ่านทางการเพาะปลูกวัตถุดิบด้านอาหาร นั่นน่าจะเป็นหลักชัยของกันเลยทีเดียว”

“กันเดินทางออกจากเว้ มุ่งหน้าเข้าลาว จากนั้นกันตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ ศึกษาเรื่องอาหารพื้นบ้าน จดบันทึก สำรวจผลิตผลทางการเกษตร ถ้านายมีโอกาสไปอัตตะปือ เรื่องราวของกันที่โดนเห็ดพิษเล่นงานจนแทบไม่รอดที่โรงพยาบาลแห่งนั้นยังคงเป็นที่จดจำอยู่”

“หลังจากนั้นกันตัดสินใจมุ่งหน้าขึ้นเหนือ แวะที่วังเวียงก่อนจะขึ้นมาที่กาสี และที่นี่เองกันถอนเงินทั้งหมดจากธนาคาร เช่าพื้นที่ทดลองทำแปลงเกษตร ซึ่งพรุ่งนี้เช้ากันจะพานายไปดู อากาศที่นี่เหมาะกับคนยุโรปอย่างกันและเหมาะกับการปลูกพืชเมืองหนาวด้วย กันทดลองปลูกพืชที่ได้รับความนิยม ไทม์ ทารากอน เซจ ไปจนถึงกะหล่ำปลีม่วงและอีกสารพัด”

“กันส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงผึ้งป่า เลี้ยงปลาในแม่น้ำ กันทดลองทำชีส ทดลองทำน้ำซอสถั่วเหลืองด้วยตนเอง ทุกอย่างที่กันผลิตได้ กันส่งกลับไปในตัวเมือง ผู้คนเริ่มพูดถึงผลิตผลชั้นดีจากไร่ปศุสัตว์เล็กๆ ในกาสี”

“กันมีเพื่อนร่วมงานเพิ่มขึ้นจากสามเป็นห้า เป็นสิบ และกันกำลังทดลองการปลูกกาแฟ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ชีวิตกันดำเนินไปอย่างมีความหมาย กันคิดถึงแม่ในบางครั้ง แต่ในฐานะของนักบุญประจำตนที่คอยคุ้มครองกัน ไม่ใช่ในภาพแห่งความโศกเศร้าอีกต่อไปแล้ว”

เราทั้งคู่แยกจากกันในอีกสิบนาทีต่อมา

นี่เป็นวันอันยาวนานสำหรับผม

มีหลายสิ่งเกิดขึ้นให้ครุ่นคิด ไคลน์กลับเข้าไปในห้องพักของเขาแล้ว และอีกไม่นานนัก ไฟฟ้าในห้องของเขาก็ดับลง

ส่วนผมยังนั่งอยู่ที่ลานหน้าบ้าน จ้องมองแม่น้ำหลิก นี่ใช่ไหมที่ไคลน์ส่งเสริมการเลี้ยงปลาแม่น้ำ ผมมองไปที่ยอดเขาอันมืดทะมึน

ตรงนั้นใช่ไหมที่ไคลน์ส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งป่า

แปลงเกษตรของเขาเล่ามันอยู่ตรงไหน ผมพบว่าการเดินทางครั้งนี้ผมไม่ได้มาเยี่ยมไคลน์แต่เพียงอย่างเดียว

แต่ผมมาเยี่ยมอาณาจักรของเขาด้วย