คำ ผกา : แปลกหนักมาก

คำ ผกา

สิ่งเล็กน้อยที่ได้ผ่านสายตาไปในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้ฉันเริ่มมั่นใจว่า หากวันหนึ่งประเทศไทยจะมีระบอบการเมืองที่คล้ายคลึงกับเกาหลีเหนือ น่าจะไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง

และฉันก็เริ่มเชื่อว่า เหตุที่ประเทศไทยมีสถิติการรัฐประหารถี่มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มิใช่เพราะอำนาจของปืนอย่างเดียว แต่มีแรงหนุนนำเชิงอุดมการณ์และพลังทางวัฒนธรรมรองรับอยู่อย่างแข็งแรง

สิ่งเล็กน้อยที่ได้ผ่านตาไปมีอะไรบ้าง

นักการเมืองของพรรคเพื่อไทยคนหนึ่ง บอกว่า เหตุที่ไม่ควรตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เพราะว่าผู้สูงอายุคือคนที่ทำคุณงามความดีมีพระคุณต่อประเทศชาติ

เอิ่ม…ฉันต้องขยี้ตาอ่านถึงสามรอบ สี่รอบ เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองตาไม่ฝาด

เพราะข้อถกเถียงเรื่องเบี้ยยังชีพ อยู่บนฐานคิดเรื่องสวัสดิการรัฐ รัฐที่เป็นเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ ย่อมไม่ปลื้มกับแนวคิดรัฐสวัสดิการ เพราะเห็นว่าทำให้คนขี้เกียจ ไม่แข่งขัน งอมืองอเท้ารอเงินเดือน เงินอุดหนุนจากรัฐ ระดับของการให้รัฐสวัสดิการในรัฐบาลเสรีนิยมก็อาจจะหาสมดุลได้ตรงที่ว่า นักการเมืองถ้าอยากเป็นรัฐบาลจะเอาใจฐานเสียงของตนเองอย่างไร หากเป็นรัฐบาลเสรีนิยมทางเศรษฐกิจแต่ฐานเสียงเป็นคนแก่ ก็อาจเลือกตัดสวัสดิการคนว่างงานของคนหนุ่มสาวแล้วเอาเงินมาอุดหนุนคนแก่ก็เป็นได้

ทั้งนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ “พระคุณ” ของคนแก่ เพราะเราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนแก่คนไหนมีพระคุณมาก คนแก่คนไหนมีพระคุณน้อย

และถึงที่สุดฐานคิดแบบนี้คือฐานคิดชุดเดียวกันกับที่ชอบพูดกันว่า ถ้ามีคนดีในบ้านเมืองเยอะ บ้านเมืองก็ดี หรือ คนที่เป็นคนเลว ไม่ทำความดีให้แก่ประเทศชาติ ไม่ควรมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

ส่วนรัฐที่พรรคการเมืองที่ชูอุดมการณ์สังคมนิยม ย่อมผลักดันนโยบายรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบ เช่น เรียนฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงมหาวิทยาลัย รักษาฟรี จ่ายเงินเดือนให้พลเมืองจนมีเงินพอสำหรับยังชีพทุกคน โดยไม่มีเงื่อนไข (สวิสเพิ่งลงประชามติกันว่าจะเอานโยบายนี้หรือไม่)

เพราะฉะนั้นเบี้ยผู้สูงอายุ เงินเดือนก็ต้องจัดเต็ม เพราะเขาเชื่อในความเป็น “สังคมนิยม”

ทีนี้ ถ้าเราเป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้ง เราไม่ชอบนโยบายสังคมนิยมแบบนี้ เห็นว่าไม่แฟร์ ชั้นทำงานแทบตายต้องมาเสียภาษีแพงๆ เอาไปพยุงคนตกงาน คนแก่ คนป่วย คนจน คนต่างด้าว หนทางต่อสู้คือ ก็ต้องไปลงคะแนนเสียงให้พรรคการเมืองที่ชูธงอุดมการณ์เสรีนิยมแบบขวา จะขวาน้อยขวามากก็แล้วแต่อุดมการณ์ที่เชื่อนั่นแหละ

การที่ต้องมาอ่านความเห็นของนักการเมืองปีกประชาธิปไตยพูดและให้เหตุผลด้วยระบบคิดแบบ “บุญคุณ” จึงชวนให้หงายเงิบอย่างยิ่ง

จากนั้นก็อยากรู้ว่า ตกลงถ้ามีการเลือกตั้ง ชนะการเลือกตั้งแล้ว จะพาประชาชนกลับสู่ระบบ สร้างคุณงามความดี บุญคุณ เนรคุณ อะไรที่เป็นคุณค่าของโลกก่อนมีรัฐสมัยใหม่อีก???

และเพราะนักการเมืองปีกประชาธิปไตยจำนวนมากในประเทศนี้ ฝังตัวเองไว้ในอุดมการณ์เจ้าขุนมูลนายนี่แหละ ทำให้การล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทำได้ง่ายแค่ดีดนิ้ว เพราะเมื่อพวกคุณอยู่ในอำนาจพวกคุณพยายามน้อยเกินไปในการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรมอำนาจนิยม

ไม่เพียงแต่พยายามน้อยเกินไป แต่ยังทำให้มันเข้มแข็งขึ้น

มีนักการเมืองปีกเสรีนิยมบางคนพยายามจะผลักดันการทำงานเชิงวัฒนธรรมให้มีความเป็นเสรีนิยมมากขึ้น และถอนรากถอนโคนวัฒนธรรมอำนาจนิยม

เช่น พูดเรื่องการยกเลิกเครื่องแบบนักเรียน แต่นักการเมืองที่เสนอเรื่องแบบนี้ต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวเพราะเพื่อนนักการเมืองด้วยกันไม่เคยเข้าใจว่า เรื่องนี้สำคัญต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับแนวคิดประชาธิปไตยมากแค่ไหน

จะว่าไปแล้ว เราแทบไม่ได้ยินนักการเมืองปีกประชาธิปไตยคนไหนพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลง “พิธีกรรม” ก่อนเข้าห้องเขียน การเข้าแถว และอื่นๆ ที่เป็นการปลูกฝังระบบระเบียบเยี่ยงทหาร เน้นการเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไขบวกการปลุกระดมให้รักชาติอย่างนกแก้วนกขุนทอง

ใครที่เข้ามาเป็น รมว.ศธ. ทุกคนก็พร้อมจะปล่อยให้โรงเรียนปลูกฝังลัทธิฟาสซิสต์แบบนี้ให้เด็กอย่างไม่หยุดหย่อน

การปลูกฝังลัทธิฟาสซิสต์ไว้ในระบบการศึกษาไทยทั้งในระเบียบ พิธีกรรม การควบคุม จัดแจงร่างกายนักเรียนผ่านเสื้อผ้า เครื่องแบบ มารยาท การเข้าแถว การเดิน การทำความเคารพ รวมไปถึงกิจกรรมรวมหมู่ที่เน้นการทำลายความเป็นปัจเจกบุคคล แต่เน้นความสามารถในการกลืนตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เหล่า (ด้วยความอ่อนแอของการศึกษาในการมอบปัญญาให้กับเยาวชน บรรดาเด็กที่อยากปฏิเสธการถูกกลืนเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เหล่าในโรงเรียน จึงพยายามออกมาแสวงหาหมู่เหล่าที่ตรงกันข้ามกับหมู่เหล่าของครูปกครอง เช่น ออกมาเป็นเด็กแว้น ออกมาเป็นสก๊อย ที่เป็นแบบนี้เพราะเด็กไทยไม่ได้มีทางเลือกที่จะปลดปล่อยพลังแห่งความเป็นปัจเจกบุคคลออกมาอย่างสร้างสรรค์) บวกกับเนื้อหาประวัติศาสตร์คลั่งชาติ คือปุ๋ยชั้นดีของการสถาปนาระบอบอำนาจนิยมให้คงทนสถาพรไปกับสังคมไทย

ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ทำลายการปลูกฝังอุดมการณ์เช่นนี้ในระบบการศึกษา สังคมไทยก็จะผลิตพลเมืองที่ฝักใฝ่ในลัทธิเผด็จการต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และพลเมืองเหล่านี้เองที่เต็มอกเต็มใจสละแรงกายแรงใจของพวกเขาออกมาล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยเชื่อว่า ทางแห่งเผด็จการคือทางแห่งความสุจริต สามัคคี สงบ สันติ

(ดังนั้น สูตรสำเร็จแห่งการยึดอำนาจจึงทำได้ง่ายๆ เพียงสร้างสถานการณ์วุ่นวาย -ทำให้คนในสังคมเชื่อว่าตอนนี้บ้านเมืองวุ่นวาย – ทหารต้องออกมากอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากความวุ่นวาย – บ้านเมืองสงบ)

เขียนมายาวขนาดนี้ก็เพื่อจะสรุปสั้นๆ ว่า อยู่กับเผด็จการก็ว่าหดหู่แล้ว แต่มาเจอนักการเมืองฝั่งประชาธิปไตยที่พกอุดมการณ์แบบ “คนแก่ควรได้เบี้ยยังชีพเพราะมีบุญคุณต่อบ้านเมือง” นี่ อิชั้นหดหู่ยิ่งกว่า

อยากจะตะโกนดังๆ ว่า ต่อให้เป็นคนแก่กเฬวราก แต่หากการได้เบี้ยยังชีพคือสิทธิที่คนแก่ทุกคนพึงได้ เขาก็ต้องได้ เท่านั้นเลย การเป็นคนแก่ไม่ได้เท่ากับการทำความดีให้บ้านเมืองอะไรเลย แก่ก็คือแก่ แก่เพราะอยู่นาน จบ

สิ่งรบกวนใจที่เล็กถึงเล็กมากที่สุด คือ ได้เห็นสเตตัสหนึ่งของเพื่อนผู้อยู่บนถนนประชาธิปไตยเขียนชื่นชมคนคนหนึ่งว่า “เป็นคนน่ารัก รู้ที่ต่ำที่สูง” – อ่านแล้วก็อึ้ง ถ้าประโยคนี้มาจากฝั่งอนุรักษนิยม จะไม่ตกใจ แต่นี่มาจากฝั่งที่ชอบพูดว่า “คนเท่ากัน”

ฉันไม่ได้บอกว่าคนเราควรหยาบคายต่อกัน หรือไม่เคารพกัน แต่หากเชื่อว่าคนเท่ากัน มารยาทของคนสองคนพึงมีต่อกันอย่างคนที่ศักดิ์ศรีเท่ากันไม่ว่าอีกฝ่ายจะอายุเท่าไหร่

แต่คำว่ารู้ที่ต่ำที่สูง เป็นคำที่แรงมาก

แรงกว่าคำว่า เคารพระบบอาวุโสด้วยซ้ำ เพราะคำว่าอาวุโสอย่างน้อยก็รู้ว่าเราเคารพเพราะเขาแก่กว่า เราเคารพเพราะเขาเป็นรุ่นพี่

แต่ที่ต่ำที่สูงนี่ไม่รู้เลยว่า เวลาบอกว่าคนหนึ่งสูงกว่าอีกคนหนึ่ง คุณใช้อะไรวัด? อายุ? เพศ? ชนชั้น? ชาติกำเนิด? ความดี? อายุงาน?

เราไม่มีวันรู้ว่าแต่ละคนนิยามที่สูงและที่ต่ำของตนเองไว้อย่างไร แต่คำว่าที่สูงที่ต่ำได้สถาปนาอำนาจเหนือกว่าที่มาจาก “สถานะ” สูง และต่ำ อย่างไม่อาจบิดพลิ้วให้เป็นอื่น และมันเท่ากับการบอกว่า คุณยอมรับว่าในสังคมมีคนที่สูงกว่าคุณและมีคนที่ต่ำกว่าคุณ เป็นเรื่องแสนธรรมดาสามัญ เหมือนพระอาทิตย์ที่ต้องขึ้นทางทิศตะวันออกเท่านั้น ไม่มีวันเป็นอย่างอื่นไปได้

ขอถามคำเดียวว่า ด้วยโลกทัศน์แบบนี้เราจะสร้างสังคมประชาธิปไตยขึ้นมาได้อย่างไร?

ย้ำอีกรอบว่าไม่ได้แปลว่าทุกคนต้องขากถุย หยาบคายใส่กัน แต่เราควรเคารพกันและกันบนฐานของความเป็นมนุษย์เท่ากันของอีกฝ่าย ด้วยฐานคิดว่าทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร ทำงานอะไร เป็นลูกใคร รวยหรือจน

เรื่องสุดท้ายที่ฉันคิดว่าพีกที่สุดของความ absurd หรือ “ชวนหัว” ที่สุดคือ เมื่อพระพยอมแสดงความเห็นว่า ควรจัดการกับธรรมกายด้วยการล้อม ตัดเสบียง (ราวกับทำศึกสมัยอยุธยา)

เดี๋ยวนะ พระพยอม ท่านก็มีจุดยืนสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ทำไม พอถึงกรณีธรรมกายถึงจะกลายเป็นฟาสซิสต์อยากกวาดล้างอะไรก็ตามที่ในสายตาตนเองเห็นว่าไม่ถูกต้องโดยไม่สนใจว่าวิธีที่ใช้ถูกต้องตามหลักการของกฎหมายหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น โดยหลักการแล้ว ใครก็ตามที่คิดว่าความถูกต้องมีหนึ่งเดียว คนผู้นั้นคือฟาสซิสต์ ใครที่คิดว่าพุทธแท้มีหนึ่งเดียว ก็แสดงว่าคนคนนั้นเป็นพุทธแบบฟาสซิสต์

จากความเห็นของพระพยอม มีพระอีกรูปโพสต์เฟซบุ๊กว่า ไม่เห็นด้วยเลย มันฟังดูรุนแรงจัง

ปรากฏว่ามีคนที่ไม่เห็นด้วยกับพระพยอม เข้าไป “จัดหนัก” ในคอมเมนต์ และหนึ่งในคอมเมนต์ที่จัดหนัก เขียนว่า “เลิกนับถือแล้วพระแบบนี้ มิน่า เอาแต่คนต่างด้าวมาอยู่วัด”

เฮ้ยยยยยย เดี๋ยวก่อนนนนนนนนนน คุณไม่เห็นด้วยกับพระพยอมเรื่องธรรมกาย แล้วไปหยิบเอาเรื่องเด็กต่างด้าวมาผสมโรงทำไม?

คิดว่าพระพยอมไปผูกขาดว่าพุทธที่ถูกต้องต้องอย่างที่ท่าน “เห็น” เท่านั้นก็ว่าแย่แล้ว แต่การที่มีคนมาจัดหนักพระพยอมด้วยโลกทัศน์ที่ล้าหลังกว่า นั่นคือการเหยียดและแบ่งแยกคนไทยกับคนต่างด้าว ทำให้เห็นว่าคนต่างด้าวคือ “ผู้บุกรุก” คือ “สิ่งแปลกปลอม” นั้น ทำให้ฉันถึงกับต้องลงไปนั่งเอาเท้าสองข้างขึ้นมากุมขมับ

อนุรักษนิยม คิดและทำอย่างอนุรักษนิยม ไม่แปลก

เผด็จการ คิด ทำ และพูด แบบเผด็จการ ไม่แปลก

แต่ถ้าคุณบอกว่าคุณสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ คิด พูด และ ทำแบบฟาสซิสต์ เผด็จการ อำนาจ นิยม – คุณแปลกหนักมาก!

และถ้าฝ่ายประชาธิปไตยมีคนที่คิด พูด และทำแบบเผด็จการเยอะเท่าไหร่ หนทางที่เราจะไปถึงความเป็นประชาธิปไตยก็จะยิ่งมาถึงช้าเท่านั้น