วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ ที่เก่า – คนใหม่

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

                           

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

ที่เก่า – คนใหม่

 

“วันสองวันนี้เขาคงมาเยี่ยมกระมัง” สานิตย์พี่สาวคาดเดา

“ไม่รู้ซิ” พระปานตอบออกไปทั้งที่เชื่อว่าพรุ่งนี้จงจิตต้องมาเยี่ยมแน่ ขณะในใจครุ่นคิดถึงผู้ที่ศรัญญาบอกว่าใครก็ไม่รู้ที่เห็นพร้อมกับจงจิต แต่มิได้แสดงออกทางสีหน้าให้พี่สาวและศรัญญาเห็นผิดสังเกต

“กลางคืนที่นี่หนาวไหม ท่านเป็นไงมั่ง” พี่สาวเปลี่ยนเรื่อง “ที่บ้านหนาวพอได้ แต่นี่แย่หน่อย” สานิตย์เรียกตัวเองว่า “นี่” แทน “พี่” อย่างที่เคยใช้กับน้องและกับพระปานก่อนบวช “ท่านจะเอาผ้าห่มเพิ่มไหม”

“ไม่ต้องหรอก กลางดึกหนาวบ้างนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ตอนเช้ายังอาบน้ำปกติ”

“ท่านน่ะหรือคะ อาบน้ำตอนเช้า” สานิตย์ถามอย่างไม่เชื่อหู ด้วยรู้ว่าพระปานเป็นคนขี้หนาว ตอนยังไม่บวช คืนไหนกลับบ้านดึกไม่เคยเห็นอาบน้ำก่อนนอนสักครั้ง

พระปานชักฉุนระคนขำ “หาว่าพระโกหกหรือไง”

“เปล่าค่ะ แต่ไม่เชื่อเท่านั้น” สานิตย์พูดเล่น

“โยมแม่เป็นไงมั่ง” พระปานเปลี่ยนเรื่องถาม

“สบายดีค่ะ เห็นว่ามาตักบาตรคราวก่อนท่านห้ามไม่ให้มาอีกหรือคะ”

“ฮื่อ… ขาแข้งไม่ค่อยดี ขึ้นรถขึ้นราไม่สะดวก เป็นห่วง ถึงจะมีรถมาเองก็เฮอะ เดี๋ยวเป็นอะไรไป อายุมากแล้ว เลยบอกไปว่า วันไหนว่างจะไปรับบาตรที่บ้านเอง ไม่ต้องมาให้ลำบากหรอก”

“ดีแล้วค่ะ ห้ามไปอย่างงั้น” พี่สาวสำนอง

 

ตะวันคล้อยบ่ายไปมากแล้ว หลังจากพี่น้องคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้จนเกือบจะเย็น สานิตย์กับศรัญญาจึงลากลับ

พระปานไม่ได้ตามออกไปส่ง เก็บข้าวของที่วางเกะกะแล้วทำความสะอาดกวาดถูห้อง วันนี้ทำเร็วกว่าปกติ เนื่องจากการลงทำวัตรเย็นจะเร็วกว่าทุกวันครึ่งชั่วโมง ตามที่ท่านเจ้าคุณใหญ่สั่งไว้เมื่อเย็นวานนี้ ด้วยต้องมีการสวดมนต์พิเศษรับพระอาทิตย์หรืออะไรทำนองนั้น พระปานไม่ค่อยเข้าใจ ทั้งไม่อยากถามใคร

ทำวัตรเสร็จ พระปานกับพระหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันอีกสองสามรูปเดินเร่ไปนั่งจับกลุ่มคุยถึงเรื่องต่างๆ ที่สนามข้างวิหาร ซึ่งมีม้าหินรอบต้นพิกุล รับลมช่วงเย็นต่อค่ำ อากาศกำลังสบาย โดยเฉพาะวันนี้ไม่มีการเผาศพ กลิ่นศพจากหลังวัดไม่มารบกวน

ระหว่างคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ในใจพระปานยังคิดถึงคำพูดของน้องสาวที่พบกับจงจิตว่าเดินกับใครไม่รู้ ใจหนึ่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้ว่าเป็นใคร ทั้งไม่สนใจว่าจงจิตจะมาเยี่ยมหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งอยากรู้ว่าเป็นใคร คงเป็นคนที่เธอหมายมั่น หรือเป็นคนที่ทำให้เธอต้องผละจากเขา

กระนั้น พระปานยังคิดว่าพรุ่งนี้เธอต้องมาหาแน่

 

รอยยิ้มอย่างมีความสุขของจงจิตเลือนหายไปแวบหนึ่ง แต่แล้วกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิมจนอุทัยไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อได้รับคำทักทายจากศรัญญา

“สวัสดีค่ะพี่เมย สวัสดีปีใหม่” ศรัญญาทักทายพร้อมกระพุ่มมือไหว้ “ลงมาเมื่อไหร่คะ”

“เอ้อ… สวัสดีรุ้ง พี่ลงมาเมื่อวานนี้เอง นี่จะไปไหนกันคะ” จงจิตดึงมือออกจากการเกาะกุมของอุทัยรับไหว้ศรัญญา คิดว่ายังไม่สมควรที่จะแนะนำให้รู้จักกันจึงทำเฉย หลังจากทักทายกันอีกสองสามประโยค จงจิตจึงถามถึงพระปาน เมื่อเห็นอุทัยหันมองภาพหน้าโรงภาพยนตร์ แล้วว่า อีกสองสามวันจะไปเยี่ยม และต่างคนต่างลากันตรงนั้น

“น้องเพื่อนค่ะ” จงจิตบอกกับอุทัย เมื่อเห็นเขาทำท่าถาม

“อ้อ” เสียงผ่านลำคออุทัยเชิงรับรู้ “หน้าตาสวยดีนี่…”

ยังไม่ทันจบประโยคนั้น อุทัยต้องร้องโอ๊ยออกมาเบาๆ สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจงจิตหยิกหมับเข้าที่ต้นแขน “นี่ขนาดต่อหน้านะ” จงจิตแกล้งต่อว่า

อุทัยหันมองนัยตาป้อย “โธ่…ชมเด็กชมเล็กก็ไม่ได้ ไหนว่าเป็นน้องเพื่อนไง ถึงชม” อุทัยต่อความ

ผู้คนเริ่มซาไปจากเมื่อครู่ซึ่งเป็นขณะที่ภาพยนตร์รอบเช้าที่จงจิตกับอุทัยเพิ่งชมออกมา และภาพยนตร์รอบเที่ยงจะเริ่มฉาย

“ไม่ต้องเอารถไปดีกว่านะ เดินข้ามสะพานลอยไป กินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วเดินกลับมาย่อยอาหารดี” อุทัยออกความเห็น ซึ่งจงจิตพยักหน้าคล้อยตาม แล้วเดินร่วมไปกับผู้คนขวักไขว่ขึ้นสะพานลอย หักเลี้ยวบนบันไดผ่านตึกศูนย์การค้าสยามทะลุอาเขตโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล

แดดเที่ยงเจิดจ้า ผู้คนบางตากว่าเมื่อครู่ แต่ยังดูมากกว่าปกติ สีสันเสื้อผ้านานาชนิด เครื่องประดับของร้านค้าสวยงามฉูดฉาด ฝรั่งสองคนผัวเมียส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปเดินชมเครื่องเงิน อัญมณี และผ้าไหม

ผ่านอาเขตร้านค้าเข้าประตูโรงแรม กระไอเย็นภายในฉ่ำชื่น ทั้งสองเหมือนรู้กันถึงความหิว ไม่มีใครหยุดดูอะไรอื่น ตรงเข้าไปยังห้องสยามกริลล์ทันที

เลือกที่นั่งริมในสุด พนักงานนำน้ำเย็นมาบริการรินลงแก้วที่เพิ่งจับหงายขึ้น และถามถึงอาหารว่าจะสั่งอย่างเป็นอาราคาสหรือรับประทานบุฟเฟ่ต์ อุทัยมองหน้าจงจิตเป็นเชิงปรึกษา ซึ่งจงจิตมองหน้าเขาเช่นกัน

“บุฟเฟ่ต์ดีกว่านะคะ” เธอออกความเห็น อุทัยคิดนิดหนึ่งแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

บริกรชายคนนั้นโค้งแล้วผายมือ “งั้นเดี๋ยวเชิญทางนี้เลยครับ” แล้วเดินจากไป สักครู่จึงเดินกลับมาใหม่ ถามถึงเครื่องดื่ม อุทัยขอกาแฟ จงจิตขอเป็นน้ำส้มคั้น

ระหว่างดื่มน้ำเย็นแก้กระหาย จงจิตมีโอกาสสำรวจรอบห้องอย่างเกือบกระจะแจ้ง ผิดตาไปจากเมื่อครั้งก่อนที่เคยมากับปาน ทั้งเพิ่งผ่านเทศกาลคริสต์มาส เข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ จึงยังมีสายรุ้งประดับประดาต้นไม้ และปุยสำลีต่างหิมะ ด้านหน้าที่ผ่านมาเมื่อสักครู่แจ้งรายการสำหรับคืนนี้ แต่จงจิตไม่ทันอ่านว่ามีอะไรบ้าง ทั้งยังไม่สนใจอยากรู้

บริกรนำกาแฟกับน้ำส้มคั้นมาเสิร์ฟ ระหว่างทั้งสองคุยถึงภาพยนตร์ที่เพิ่งชมออกมา แล้วอุทัยเปลี่ยนรายการตอนบ่ายว่าต้องไปอีกสองสามแห่ง ซึ่งเป็นบ้านญาติข้างพ่อของอุทัย จงจิตยังไม่ทันออกความเห็นว่าจะไปด้วยหรือไม่ เธอบอกให้ไปตักอาหาร “คนชักจะมากแล้ว”

อุทัยหัวเราะเอ็นดู “ไม่ต้องกลัวหมดหรอก เดี๋ยวก่อนก็ได้”

จงจิตทำตาถมึง ขยับมือคล้ายเอื้อมมาหยิก อุทัยชักมือกลับแล้วหัวเราะขึ้นอีก