ทราย เจริญปุระ : แปลก, แพศยา

สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวสำคัญๆ เกิดขึ้นหลายข่าว และโดยส่วนตัวฉันมองว่าไม่ค่อยจะมีข่าวเชิงบวกเท่าไหร่ มีแต่อะไรที่ชวนทดท้อถอดใจทั้งสิ้น

ยังดีว่าฉันได้อ่านเรื่องราวของบุคคลที่ออกไปเคลื่อนไหวเรื่องการเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว เขาและเธอผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นมาได้โดยเรียบร้อยพอสมควร มีผู้คนให้ความสนใจและให้ความสำคัญมากขึ้น

อาจจะไม่มีคนออกไปร่วมขบวนเรือนแสนเรือนล้าน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นก็ได้จุดไฟเล็กๆ ขึ้นในใจบางคน

ไฟนั้นอาจจะไม่ได้มาแบบลุกโหมโถมท่วม

แต่เป็นประกายวาบเจิดจรัสขึ้นมาแต่ทิ้งแสงค้างคาเอาไว้ในทันที

ไฟแห่งความสงสัยเช่นนี้ เมื่อถูกจุดขึ้นมาแล้ว ก็ยากนักที่จะปล่อยให้ผ่านหายไป

ยิ่งในโลกยุคที่แทบจะบังคับให้รับรู้เรื่องแต่เพียงด้านเดียวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

คนที่ยังไม่เอะใจ ไม่สงสัย ไม่เกิดคำถามขึ้นบ้างนั่นจึงจะดูเป็นคนแปลก ว่าต้องเติบโตและใช้ชีวิตไปวันๆ แค่ไหน

หรือเป็นกลุ่มผู้สมประโยชน์กันกับความปิดหูปิดตาประดามี จึงยังก้มหน้าก้มตาสนับสนุนให้อยู่กันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

 

ตลกกระทั่งงานประชุมเพื่อเสรีภาพ ที่มีนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวจากหลายชาติไปชุมนุมกัน และวัยรุ่นของประเทศเราได้ไปเป็นตัวแทนร่วมสนทนา

ก็ยังมีคนเอามากล่าวหาว่า แท้จริงงานก็จัดกันอยู่ชายทะเลพัทยา

ฝรั่งมังค่าที่ลุกมาชูนิ้วและปรบมือในงานนั้นก็ล้วนตัวประกอบราคาถูกที่จัดหามากองสุม

ถ้าจะมองว่า นี่เป็นความสงสัยแบบไฟประกายวาบขึ้นมาอย่างที่ฉันว่าตอนต้นก็คงได้

แต่ก็อาจจะเป็นบางประเภทเชื่อว่าโลกแบน

หรือพระจันทร์ทำจากเนยแข็งในยุคที่ยานสำรวจแล่นขึ้นลงไม่เว้นแต่ละวัน

ที่กึ่งตลกกึ่งเศร้าไปกว่านั้น ก็มีคนเชื่อในข้อสังเกตนี้ไม่ใช่น้อย

ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ถ้าได้เจอกันข้างนอก ก็อาวุโสกว่าชนิดยกมือไหว้ได้ทันทีโดยไม่ต้องประเมินอายุกันนาน

 

ยิ่งนานวันก็ยิ่งแปลกใจ ว่าคนโตๆ เหล่านั้นเขาช่างกอดเก็บความเชื่ออะไรไว้ได้มากมายมหาศาล

แน่นอนว่าเราโตมาในโลกยุคแตกต่างกัน อะไรที่ออกมาจากทีวีไม่ใช่แปลว่าเรื่องจริงทั้งสิ้น

อะไรที่ออกมาจากเพื่อนที่ “เขาว่า” มาแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้

ที่แย่ก็คือ ต่อให้เราไปบอกความจริงก็จะถูกโกรธอึงกลับมา ดีไม่ดีเหน็บให้เจ็บใจอีก ว่าแกมันเป็นลูกฉันนะ จะมาอวดฉลาดขึ้นมากับฉันได้ยังไง

ของบางอย่างเก่าผ่านพ้นปีก็ใช่ว่าจะขึ้นหิ้งเป็นของดีเสมอ

แถมบางทีจะยังนำเอาความรุงรังร่ำไรมาถมใส่ปัญหาเสียอีก

กระบวนการราชการ รัฐการหลายๆ ระบบเป็นเช่นนี้ ยังคงอยู่ในยุคแฟกซ์กระดาษร้อนที่พร้อมจะลบข้อมูลหายไปหากทิ้งไว้นานๆ ยังต้องเสนอระเบียบปฏิบัติแปลกๆ ยังตามเกณฑ์ยี่ต๊อกที่มีจุดเริ่มมาจากโรงหวย ทั้งที่โรงหวยนั้นก็ราพณาสูรไปแล้วนมนานจนคนล้นคุก ยังสร้างถนนทับต้นไม้หรือเสาไฟไปดื้อๆ ยังสร้างลิฟต์ที่ไม่ให้ใครได้ใช้ แต่ต้องมีเพราะต้องมี

ไม่มีใครคิดถึงความจำเป็นหรือไม่ คิดถึงกันแค่ระเบียบปฏิบัติการที่ทำกันมาเมื่อเป็นสิบเป็นร้อยปี

คุณๆ ท่านๆ เหล่านั้นไม่ได้เจ็บปวดเสียหายอะไรกับระบบหรอก ดีเสียอีกที่ได้มีสวัสดิการดูแลตัวเองและครอบครัว โดยไม่ได้ใส่ใจว่าแท้จริงแล้วการทำงานนั้นไม่จำกัดอยู่แต่กับตัวเอง แต่เป็นหน้าที่ที่ควรจะปรับตัวตามโลกตามสมัย เพื่อให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้นกันตลอดโครงสร้างสังคม

“การโกงกินคืออะไรล่ะ การโกงกินมักถูกนิยามแคบๆ ว่าเป็นการยักยอกเงินหลวง รับสินบนใต้โต๊ะ หรือไม่ก็เรื่องผู้หญิง แต่การโกงกินที่เลวร้ายที่สุดคือการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการของตนเอง สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือคนอย่างเตียวเฉิงซิ่นที่คอยขัดขวางการทำหน้าที่ของคนอื่น และส่วนที่เลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้คือ แม้จะรู้อยู่แก่ใจไช่ฟู่ปังก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีนี้ไช่ฟู่ปังไม่ใช่คนแต่งตั้ง แต่แต่งตั้งโดยผู้ใหญ่ระดับมณฑล”*

 

คนที่เจ็บปวดกับกติกาที่ยึดถือกันมาทั้งทางจารีตและทางปฏิบัติเป็นข้อกำหนดที่สุดคนหนึ่ง ก็คงหนีไม่พ้น

หลี่เสวี่ยเหลียน

เธอเป็นสาวบ้านนอกรูปโฉมงามหยดย้อย อกเป็นอก เอวเป็นเอว ใช้ชีวิตปกติสุขกับสามีและลูกหนึ่งคน จนกระทั่งเธอตั้งท้องลูกคนที่สอง

-แต่รัฐบาลให้มีลูกได้คนเดียว-

เธอจึงนัดแนะกับสามีว่าจะแกล้งหย่ากัน แล้วให้ลูกคนแรกก็เป็นลูกติดของฝ่ายชาย แล้วกลับมาแต่งด้วยกันอีกหน คราวนี้ลูกในท้องคนที่สองก็จะเป็นลูกเธอกับลูกเขา

ศรีธนญชัยสุดๆ แต่มันก็เกิดขึ้นได้ และคงจะสำเร็จเป็นเรื่องตัวอย่างให้คนได้ทำตามกันต่อไป ถ้าเพียงแต่สามีของเธอจะซื่อสัตย์ตามสัญญา

เพราะหย่าปลอมๆ ได้ครึ่งปี สามีตัวดีดันหนีไปแต่งงานกับหญิงอื่นเอาจริงๆ

ทิ้งเธอค้างเติ่งพร้อมลูกในท้องอยู่อย่างนั้น

หลี่เสวี่ยเหลียนอยากจะฆ่าไอ้สารเลวนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่เธอก็อยากให้มันทุกข์ทรมานอย่างเธอด้วย

เธอจะไปฟ้องศาลเพื่อพิสูจน์ว่าการหย่าครั้งนั้นเป็นเรื่องโกหก หลังจากนั้นเธอก็จะแต่งงานกับมันใหม่ และหย่าอีกครั้งให้มันถูกต้อง!!

 

เรื่องโอละพ่อทำนองนี้จะสนุกก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นในชีวิตของคนที่เราเกลียดเท่านั้น เพราะมันสร้างทุกความหายนะให้เกิดขึ้นได้ทั้งทางกาย ทางใจ และทางสังคม

หลี่เสวี่ยเหลียนถูกมองว่าเป็นหญิงบ้า ทั้งศาล ทั้งข้าราชการไม่รับคำฟ้องของเธอ

หลี่เสวี่ยเหลียนจึงประท้วงแบบไม่ไว้หน้า ไล่ตั้งแต่หัวมาจนหาง และไม่ลืมพ่วงสามีตัวดีไปด้วยอีกคน

เรื่องที่ควรจะจัดการได้ง่ายๆ กลายเป็นอลหม่านเพราะความไม่เข้าใจและการส่งเรื่องต่อกันบางประการ

“พูดตามตรง ประเทศของเรายังขาดแคลนอะไรอยู่หลายอย่าง แต่สิ่งที่เราไม่ขาดเลยคือข้าราชการ ไล่ออกทั้งชุดนี่ดีด้วยซ้ำ จะได้เอาคนของตนมาสวมตำแหน่งแทนได้”

 

หลี่เสวี่ยเหลียนประท้วงเรื่องนี้ทุกปีต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่อายุ 29 ล่วงเลยถึง 49

ครึ่งชีวิตที่เธอถูกมองเป็นคนบ้า และเรื่องก็ยังไม่เดินหน้าไปถึงไหน เพียงแค่วนกลับไปกลับมาระหว่างพื้นที่ส่วนหมู่บ้านของเธอ ส่วนอำเภอ และก็ส่วนมณฑล เธอกลายเป็นเรื่องตัวอย่างที่ถูกเอามาเล่าส่งต่อๆ กันไป

เธอถูกมองว่าร้ายกาจเพราะการตั้งคำถามและการ-ไม่ยอม-ของเธอ

เธอตั้งคำถามต่อข้ารัฐการ บุคคลที่ไม่เคยต้องรับมือกับคำถามมาก่อน

ทุกคนยินยอม

ทุกคนปฏิบัติตาม

ปฏิกิริยาของพวกเขาเมื่อเผชิญกับคำถามที่แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่คำถามยากเย็นสำหรับมนุษย์พึงถามต่อมนุษย์ที่เสมอกัน

แต่เมื่อเขาไม่ได้เห็นตัวเองเป็นมนุษย์เหมือนเธอ

คำถามของเธอจึงอุกอาจ เสียดแทง และหยาบหยาม

ไม่มีคำตอบให้คำถามนั้น

ทั้งที่จริงแค่คำตอบง่ายๆ หรือความเห็นใจที่หยิบยื่นให้กัน ก็อาจจบปัญหาเรื้อรังนี้ลงได้ง่ายๆ

แต่ไม่

มันคือความบังอาจที่คนธรรมดา กล้าถามในสิ่งที่ต้องไม่ถาม

แต่ฉันเชื่อว่า, หากเราถามกันมากขึ้นและมากขึ้น คำตอบจะต้องมาถึงในรูปแบบใดสักอย่าง

ตอนนี้ฉันมีคำตอบในใจของฉันแล้ว

คุณล่ะ ได้ตั้งคำถาม และเริ่มมองหาคำตอบบ้างหรือยัง?

—————————————————————
*ข้อความจากในหนังสือ