ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์ /TERMINAL ‘แค้นนี้ต้องชำระ’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์

TERMINAL

‘แค้นนี้ต้องชำระ’

กำกับการแสดง  Vaughn Steind
นำแสดง  Margot Robbie Simon Pegg Mike Myers Dexter Fletcher
Max Irons

Terminal มีหน้าตาเหมือนหนังนัวร์ที่สร้างจากนิยายภาพ หรือ graphic novel เรื่องราวการล้างแค้นที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนและหวือหวา ด้วยสไตล์การเดินเรื่องและสีสันของภาพบนจอ
ที่ชัดเจนคือการนำเสนอด้วยสไตล์แบบเท่ๆ ดูแล้วนึกถึง Pulp Fiction ของเควนติน ทาแรนทิโน ซึ่งเคยสร้างความหวือหวามาแล้วเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน
ในลักษณะการเล่าเรื่องที่ต้องนำมาปะติดปะต่อในภายหลัง และแคแร็กเตอร์ที่มีสีสันและเอ่ยปากออกมาเป็นคำพูดชวนสะกิดใจที่ต้องคิดอยู่หลายตลบจึงจะคิดทัน
พูดเหมือนเป็นหนังดัดจริตเหลือเกิน…ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่ผู้เขียนชอบนะคะ ดูสนุกไปจนตลอด ถึงตอนจบที่ปะติดปะต่อทั้งหมดให้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งออกจะมากเกินจำเป็นไปนิด และมีฉากโหดที่เกินรสนิยมผู้เขียน จึงต้องบอกว่าเกินจำเป็นอีกเหมือนกัน
แค่เครดิตต้นเรื่องของหนังก็เท่มากแล้ว ด้วยภาพเมืองยามราตรีที่มีชื่อนักแสดงเขียนแทรกไว้ในป้ายชื่ออาคารบ้าง อะไรๆ บ้าง อย่างกลมกลืนและเป็นกราฟิกที่เข้าท่ามาก

นางเอก…หรือจะว่านางร้าย…ของเรื่องเป็นสาวเซ็กซี่ดินระเบิด เดินนวยนาดเข้าห้องสารภาพบาปในโบสถ์ และพูดกับคนที่อยู่ในห้องถัดไป ด้วยช็อตที่เราเห็นปากแดงจัดของคุณเธอขยับขึ้นลงพูดจาเป็นการเจรจาธุรกิจเพื่อของานในโลกอาชญากรรม และขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองให้ประจักษ์ผลงาน
สาวดินระเบิดคนนี้ต่อมาเราจะได้รู้ว่าชื่อ แอนนี่ (มาร์โกต์ ร็อบบี้ จาก I, Tonya) เป็นสาวแรงสูงที่ซ่อนพิษร้ายไว้เต็มตัว แบบที่ฝรั่งเรียกว่า “femme fatale” หรือ “สาวมหาภัย”
และงานที่เธออยากได้นักหนาในครั้งนี้คืองานรับจ้างฆ่าคนที่เจ้าพ่ออยากกำจัดให้พ้นทางในโลกใต้ดิน
เธอขอเวลาสองสัปดาห์เพื่อพิสูจน์ความสามารถในครั้งนี้ โดยจะต้องแย่งงานมาจากทีมนักฆ่ารับจ้างสองคนที่ได้รับมอบหมายงานไปแล้ว ชื่อวินซ์ (เดกซ์เตอร์ เฟลตเชอร์) กับอัลเฟรด (แมกซ์ ไอออนส์)
ส่วนเจ้าพ่อคนนั้นเรียกขานกันด้วยชื่อว่ามิสเตอร์แฟรงคลิน โดยยังไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตา
และหนังเดินเรื่องอยู่ภายในสองสัปดาห์นี้

โดยตัดสลับไปมาจากเรื่องของแอนนี่ที่เป็นสาวเสิร์ฟในร้านอาหารใกล้สถานีรถไฟ กับสาวนักเต้นรูดเสาในบาร์…ดูเหมือนว่าแอนนี่หารายได้จากงานหลายจ๊อบไปพร้อมๆ กัน…
แอนนี่สาวเสิร์ฟรอบดึกเจอบิลล์ (ไซมอน เพ็กก์) ชายวัยกลางคนที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย โดยมีอาการไอเรื้อรัง ถ้าจะให้เดาก็คือเป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้าย เพราะเขาไปอยู่ในสถานีรถใต้ดินที่ไม่มีใครอยู่สักคนเดียวเพื่อรอรถไฟไปไหนสักแห่งก็ได้
ซึ่งภารโรงที่เข็นรถมาทำความสะอาดบอกว่าเที่ยวต่อไปคือรุ่งเช้านั่นแหละ และแนะให้เขาไปนั่งรอในร้านอาหารที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง
บทสนทนาระหว่างสาวเสิร์ฟกับชายผู้ท้อแท้ค่อยๆ เผยเรื่องราวและจุดประสงค์ของตัวละครออกมาทีละน้อย โดยที่คนดูยังต้องงงอยู่นานว่าอะไรเป็นอะไร
แต่บทบาทของนักแสดงสองคนนี้ก็เข้ากันได้ดี โดยเฉพาะเมื่อได้นักแสดงเจ้าบทบาทอย่างไซมอน เพ็กก์ ซึ่งเป็นนักแสดงอังกฤษฝีมือขั้นแนวหน้าคนหนึ่ง
ฉากที่ค่อยๆ เผยเรื่องราวระหว่างตัวละครสองตัวนี้ นำไปสู่ฉากที่น่าจดจำที่สุดตอนหนึ่งในหนังทีเดียว
แต่พล็อตก็ไม่ได้เดินเรื่องเป็นเส้นตรง แต่เป็นเส้นซิกแซ็กไปมา ตัดสลับฉากกลางดึกในร้านอาหารริมทาง กับเรื่องราวของแอนนี่กับทีมนักฆ่าสองคนที่ได้งานไปก่อนหน้าเธอ
วินซ์กับอัลเฟรดเป็นคู่หูที่พูดมาก แสดงความคิดเห็นอันต่างขั้วกันอยู่ตลอด…เหมือนอย่างจอห์น ทราโวลตา กับแซมวล แอล. แจ๊กสัน สองนักฆ่าคู่กัดที่พูดคุยกันในเรื่องจิปาถะระหว่างเดินทางไปทำงานมหาโหดของตน ใน Pulp Fiction ที่กลายเป็นหนังคลาสสิคในประเภทนี้ไปแล้ว
แอนนี่วางแผนยุยงให้คู่หูแตกกัน ด้วยความเหนือชั้นกว่าในทุกด้าน
ส่วนไมก์ ไมเยอร์ส มีบทบาทที่ซ่อนเงื่อนสำคัญไว้ แบบที่จำหน้าไม่ได้ในตอนแรกที่ปรากฏตัวในหนัง
เจ้าพ่อของโลกอาชญากรรมใต้ดิน มีที่ทำงานอยู่ใต้ดินใกล้สถานีปลายทาง ซึ่งทำให้ชื่อหนังว่า Terminal มีความหมายซ้อนกันอยู่
นั่นคือสถานีปลายทาง
และอาการขั้นสุดท้ายของโรคร้ายที่กำลังจะปลิดชีวิตมนุษย์

Terminal
Margot Robbie

ก่อนหน้าที่จะได้ดูหนัง ผู้เขียนได้ยินว่าเป็นหนังที่โดนนักวิจารณ์ด่ายับสับแหลกแทบไม่มีชิ้นดี แต่ไปดูเข้าจริงๆ แล้ว ผู้เขียนชอบนะคะ มีอะไรดีๆ ตั้งหลายอย่าง และไม่ใช่ว่าเดินเรื่องสับสนจนไม่สนุกด้วย ถ้าติดตามดีๆ ก็สนุกออกค่ะ
ถึงแคแร็กเตอร์จะไม่ลุ่มลึกซับซ้อนอะไรมาก แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าตัวละครในนิยายกราฟิกทั้งหลาย หรือในหนังแบบซูเปอร์ฮีโร่บล็อกบัสเตอร์ที่เราชื่นชอบ
เหมือนกลับไปดู Pulp Fiction อีกครั้งเลยค่ะ คือติดตามไปแบบที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่หนังก็ขมวดเรื่องลงเอยให้เรามองย้อนกลับไปคิดถึงตอนต้นๆ แล้วก็เข้าใจเรื่องได้
ถึงแม้ว่าตอนจบจะลงเอยด้วยการขมวดเรื่องแบบไม่ทิ้งปลายส่วนไหนไว้รุ่ยร่าย ทุกเส้นสายผูกกันไว้หมด
แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าตอนจบจงใจบีบให้ลงตัวจนเกินไปหน่อย เลยเกิดความรู้สึกฝืดฝืน ไม่เป็นธรรมชาติ หรือทิ้งไว้ในฐานที่เข้าใจบ้างพอควร แถมมีฉากโหดให้เห็นจะแจ้งเต็มตาเกินไป ผู้เขียนชอบอะไรที่เนียนกว่านี้ค่ะ

ติแล้วก็ต้องขอชมบ้าง มีสิ่งละอันพันละน้อยที่ชอบจากหนังเรื่องนี้หลายอย่างนะคะ
ที่โดนใจแบบจี้เส้นและยังนึกขันอยู่ตอนนี้เลย คือฉากที่มีโจรกระจอกสองคนดักปล้นคนเดินผ่านไปมาในสถานีรถไฟ ครั้งแรกบิลล์ไปเจอเข้าก่อน โจรบอกให้ส่งกระเป๋าเงินให้ รวมทั้งมีการใช้ปืนขู่ บิลล์ก็ไม่ได้ตกอกตกใจ แต่พูดและจับโกหกของโจรกระจอกได้ จนวิ่งเตลิดหนีไป
และอีกฉากก็คือ เมื่อตอนที่สองคนนี้พยายามปล้นอาชญากรที่ฉกาจกว่า แค่มองเพียงครั้งเดียว สองคนนี้ก็วิ่งหนีจู๊ดไปแล้ว เกมแบบนี้เป็นการวัดใจกันโดยแท้
คนที่ไม่กลัวและประเมินสถานการณ์ได้เหนือกว่าคือผู้ชนะ
สรุปว่าหนังมีอะไรสนุกๆ ให้ดูเยอะเลยค่ะ