ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
เรียกว่าอยู่ๆ ความซวยก็มาเยือน
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติด้วยคะแนน 3 : 2 เสียง ชี้ขาดว่า “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี
เนื่องจากภรรยาถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายในเวลาที่กำหนด คือ 30 วัน
แม้มือกฎหมายรัฐบาลอย่าง “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี จะนั่งยันนอนยันว่า นายดอนยังปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยชี้ขาด
กระนั้นย่อมหนีไม่พ้นแรงกดดันให้นายดอนโชว์สปิริตลาออกจากตำแหน่ง เพื่อความสง่างามโดยไม่ต้องรอคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด
นั่นเป็นปฐมบทของกระแสข่าวการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็น ครม.ประยุทธ์ 6 ที่แว่วว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาส ปรับ ครม. หวังลดแรงเสียดทาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ ครม. ให้ดียิ่งขึ้น
เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงปี จะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งตามโรดแม็ปคือเดือนกุมภาพันธ์ 2562
แต่ในความเป็นจริง มีความเป็นไปได้ 50 เปอร์เซ็นต์ที่ พล.อ.ประยุทธ์จะปรับ ครม. โดยเริ่มจากการปรับนายดอนออก เพราะวิธีการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่างจากนักการเมืองมาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยให้ ครม. คนใดออกจากตำแหน่งในตอนที่มีข้อครหา
เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มีปัญหาเรื่องโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ กล่าวหา “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น เกี่ยวข้องกับการทุจริตรับหัวคิว ถือเป็นกระแสโจมตีอย่างหนักจนหลายคนมองว่า ที่สุดแล้ว “บิ๊กตู่” คงต้องปรับน้องรักออกจากตำแหน่ง
ทว่าจนแล้วจนรอด “บิ๊กตู่” กลับใช้ความอึดแบบ ท.ทหารอดทน รอให้เรื่องดังกล่าวลดกระแสความสนใจของประชาชน
ไม่ยอมปรับ ครม.ให้ลูกน้องต้องออกเพราะติดข้อครหาเป็นอันขาด
ถามว่านายดอนจะลาออกหรือไม่ คำตอบอยู่ในใบหน้าเขาอยู่แล้ว เพราะนายดอนยืนยันว่า ไม่สะทกสะท้านกับแรงกดดัน
หากถามว่า พล.อ.ประยุทธ์จะขอให้นายดอนลาออกหรือไม่ คำตอบคือไม่มีทาง
เพราะไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ปรับหรือไม่ยอมให้ทีมงานออกเมื่อมีข้อครหาแล้ว ยังมีประเด็นอื่นที่จะต้องมาขบคิดกันอีก
นั่นเพราะ ถ้านายดอนออกจากตำแหน่ง แน่นอนสังคมจะชื่นชมนายดอนที่มีสปิริตแรงกล้า เป็นตัวอย่างของนักการเมืองที่ดี แต่ในขณะเดียวกันสังคมจะย้อนกลับไปมองที่ “บิ๊กรัฐบาล” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เพราะปมร้อนนาฬิกาหรู หนักหนาสาหัสกว่าประเด็น “หุ้นเมีย” ของนายดอนมาก ดังจะเห็นจากกระแสกดดันที่มีต่อนายดอน ไม่ถือว่ารุนแรงมากนัก มีเพียงนักการเมืองขาประจำเท่านั้นที่พยายามดิสเครดิตด้วยการออกมาเรียกร้องให้นายดอนโชว์สปิริต
ฉะนั้นแล้ว ถ้านายดอนลาออก ทุกสายตาจะกลับไปมองที่ พล.อ.ประวิตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นหมายความว่านายดอนจะออกไปพร้อมกับคำถามที่ยิงตรงถึง พล.อ.ประวิตร ว่า “ท่านไม่ออกบ้างเหรอ”
อย่างไรก็ดี ครม.ประยุทธ์ 5 เพิ่งทำงานได้เพียง 7 เดือน นับตั้งแต่ปรับเปลี่ยนครั้งล่าสุดในเดือนธันวาคม 2560 เวลาแค่ 7 เดือนคงยังไม่สามารถพิสูจน์ผลงานของ ครม. แต่ละคนได้ แม้ พล.อ.ประยุทธ์อยากจะเร่งให้งานออกสู่สายตาสาธารณชนโดยเร็วก็ตาม
กระทรวงเศรษฐกิจในสังกัดของหัวหน้าทีมอย่าง “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ยังเดินหน้าขับเคลื่อนงานตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะ “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่กำลังเร่งผลิตผลงาน มุ่งเน้นโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้เป็นรูปเป็นร่างโดยเร็ว
ขณะที่ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้รับความไว้วางใจจากนายสมคิดอย่างมาก พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังมอบหมายให้เป็นคนคอยกำกับเร่งรัดการปฏิรูปประเทศอีกด้วย
จะมีปัญหาอยู่บ้างคือกระทรวงคมนาคม เช่นเดียวกับทุกครั้งที่มีกระแสข่าวการปรับ ครม. นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเป็นหนึ่งในชื่อของคนที่จะถูกปรับออก
เหตุผล 1.เพราะนายอาคมเป็นพลเรือนที่ร่วม ครม. มายาวนานนับตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาล 2.นายอาคมตัดสินใจช้าแบบราชการ จึงดูไม่ค่อยทันใจนายสมคิดอยู่หลายครั้ง
เช่นเดียวกับกระแสข่าวปรับ ครม. ครั้งนี้ ชื่อของนายอาคมก็ไม่พลาดที่จะติดโผถูกปรับออก
แต่เหตุผลสำคัญครั้งนี้ต่างจากที่แล้วมา เพราะวันนี้กระทรวงคมนาคมมีรัฐมนตรีช่วยที่เก่งกาจสามารถ นายอาคมไม่ได้ทำงานคนเดียวอย่างที่ผ่านมา และรัฐมนตรีช่วยอย่าง “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” ทำงานได้ไร้รอยต่อนับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2560
นายไพรินทร์เคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทเอกชนมาแล้ว ไม่ลังเลที่จะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ตรงตามสเป๊กที่นายสมคิดและ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการ ดังนั้น จึงควรแก่เวลาที่นายอาคมจะต้องกลับไปพักผ่อนบ้างแล้ว และดัน “นายไพรินทร์” ขึ้นชั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
อย่างไรก็ตาม ถ้า พล.อ.ประยุทธ์จะปรับ ครม.จริง เหตุผลหลักคงหนีไม่พ้นการเตรียมตัวสู่การเลือกตั้ง เพราะต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่” ได้เดินสายพูดคุยกับอดีตนักการเมืองมากหน้าหลายตา ส่วนมากต่างไม่กลัวที่จะเปิดหน้าเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์แบบเต็มประตู
จึงไม่แปลกที่จะมีชื่อของ “เสี่ยแป๊ะ” สนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล ที่ก่อนหน้านี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้านการเมืองของ “บิ๊กตู่” จะติดโผนั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
แทนอาจารย์เอ “วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” ที่อาจถูกโยกไปอยู่กระทรวงอื่น เช่น กระทรวงวัฒนธรรม
ขณะเดียวกันการปรับ ครม.ครั้งนี้จะเป็นการลดโควต้าเก้าอี้ทหารที่นั่งรัฐมนตรีลดลง ช่วยแก้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลทหาร เพราะภาพของรัฐบาลทหารเป็นเรื่องที่ “บิ๊กตู่” พยายามสลัดมาโดยตลอด ถ้ามีพลเรือนหรือนักการเมืองเข้ามาเสริมใน ครม.ประยุทธ์ 6 ก็จะมีความเป็นรัฐบาลผสมมากขึ้น
แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องถูกวิจารณ์ว่าใช้พลังดูดนักการเมืองเข้าร่วม แต่สิ่งที่ได้นั้นดูจะคุ้มค่ากว่า เพราะรัฐบาล “บิ๊กตู่” ยังสามารถคุยโวโอ้อวดได้ว่า ถึงนักการเมืองบางฝ่ายจะโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีนักการเมืองบางฝ่ายที่พร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาล คสช.
กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าบิ๊กตู่จะตัดสินใจปรับ ครม.หรือไม่ แต่สิ่งที่จะมุ่งเน้นหลังจากนี้คือการผลักดันผลงานให้ออกสู่สายตาประชาชนโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นงานตามนโยบายหรือผลงานด้านการปฏิรูป รวมทั้งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นจุดอ่อนของ ครม.ประยุทธ์
จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญว่าหลังการเลือกตั้งตามโรดแม็ปกุมภาพันธ์ 2562 “บิ๊กตู่” จะได้อยู่ต่อในเก้าอี้ “นายกฯ” หรือไม่