กาละแมร์ พัชรศรี : สิงคโปร์ NO ข้อจำกัด

เพิ่งไปสิงคโปร์มาค่ะ หลังจากที่ไม่ได้ไปมานานมาก เพราะเอาจริงๆ คือ อากาศร้อนๆ พอๆ กับเรา ฝนตกบ่อยกว่า และเป็นประเทศแข็งๆ ไม่เย้ายวนใจ ไม่ค่อยมี emotional เท่าไหร่

แต่การไปครั้งนี้ทำให้ความคิดบางอย่างที่เคยมีเปลี่ยนไป

ลงเครื่องปุ๊บ ฝนตกหนักต้อนรับทันที แต่ก็ทำให้เย็นชุ่มชื่นดีจริงๆ มันยิ่งทำให้เห็นว่าต้นไม้ที่เขียวขจีของเขามันเป็นเพราะฝนที่ตกมาปีละ 200 กว่าวัน และที่สำคัญคือ รัฐและประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

มีเรื่องเล่าว่า ท่านประธานาธิบดีลี กวน ยู ฟังคำจากซินแสคนหนึ่งบอกว่า ประเทศสิงคโปร์มีลักษณะเหมือนเต่า ถ้าอยากให้ยิ่งใหญ่ เต่าตัวนี้ต้องมีตะไคร่ปกคลุม

ท่านก็เลยสั่งปลูกต้นไม้ทั้งประเทศ

แล้วการปลูกของสิงคโปร์ไม่ได้ปลูกมั่วซั่ว แต่ปลูกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม เกาะกลางถนนใหญ่เราจะเห็นว่ามีต้นไม้ต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านสวยงามเป็นแนวยาวไปทั้งถนน

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วแผ่กิ่งอย่างนั้น แต่มันเกิดจากความตั้งใจ

ทางการสิงคโปร์จะเป็นคนตัดต้นไม้ โดยจะตัดแค่ด้านล่าง ส่วนด้านบนจะให้แผ่กิ่งก้าน และเขายังมีเครื่องมือยิงเลเซอร์เข้าไปที่กิ่งไม้ เพื่อรู้อายุและความผุพังของมัน ถ้ามันผุเขาก็ตัด และตัดอย่างมีศิลปะ

ไม่ใช่ตัดแบบเฮี้ยนเตียนโล่งที่เห็นแล้วอยากร้องไห้แทนต้นไม้

 

นอกจากนี้ เขายังมีกฎหมายที่โหด คือ ใครตัดต้นไม้ที่ไม่ใช่ในบ้านของตัวเองจะโดนปรับ 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 4 แสนกว่าบาท) ซึ่งแน่ละว่า ไม่มีไอ้บ้ามือบอนที่ไหนทำอย่างนั้น เพราะสิงคโปร์ยังมีการลงโทษด้วยการเฆี่ยนและแขวนคอ ทำให้ไม่ค่อยจะมีใครกล้าทำอะไรผิดกฎหมายสักเท่าไหร่ บ้านเมืองเขาถึงเรียบร้อยเชียว

ยิ่งเห็นสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในสิงคโปร์ก็ยิ่งทำให้คิดได้ว่า “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในสิงคโปร์” เพราะเขามีที่ดินน้อย มีทรัพยากรจำกัด เขาไม่ได้มีต้นทุนมาก แต่เขาใช้สมอง ความพยายาม ความตั้งใจ มีวินัย ไม่ยอมแพ้ จนประเทศเขามีทุกวันนี้

แม้เป็นประเทศเมืองร้อนเพราะอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตร แต่เขาก็มีพืชเมืองหนาวที่ออกดอกกันสะพรั่ง จะทำไมล่ะก็ชั้นอยากมี ชั้นก็จะสร้างไง เขาสร้างตึกเรือนกระจก มีน้ำตกไหลลงมา มีต้นไม้จากเมืองหนาวให้ได้เดินชมกันสวยๆ เก็บเงินนักท่องเที่ยวได้มากมายอีก

อยากสร้างแท็งก์เก็บน้ำ เพื่อต้องเอาน้ำมารดสวนให้สวยงามเสมอ ก็ประดิษฐ์แท็งก์ขึ้นมาสูงแต่ทำโครงรูปกิ่งก้านต้นไม้เป็นชั้นนอกแล้วปลูกต้นไม้ให้เลื้อยรอบๆ กลายเป็นสัญลักษณ์เมืองอีก คนก็ถ่ายรูปอีก มีประโยชน์ด้วยสวยด้วย

หรืออย่างเรื่อง “น้ำ” สิงคโปร์ต้องสั่งน้ำจืดจาดมาเลเซียมาตลอด วันหนึ่งที่มาเลเซียขู่จะปิดก็อกไม่ส่งน้ำให้ เลยทำให้สิงคโปร์ประเทศที่รายล้อมด้วยน้ำทะเลหันมาทำน้ำจืดของตัวเอง

ทำเขื่อนกั้นไม่ให้น้ำทะเลเข้ามากลางเมืองและพยายามปล่อยน้ำจืดจากภูเขา แหล่งน้ำต่างๆ มาเจือจาง

ผ่านกระบวนการต่างๆ ทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งน้ำจืดเขาจะมากขึ้น เอามาใช้ในระบบสาธารณูปโภคได้ในที่สุด เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อย่างดี

 

ส่วนเรื่องรถติดนั้น ใช่ว่าจะไม่มี แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าบ้านเรามากนัก เพราะราคารถ ภาษี ค่าที่จอดโหดมาก ราคารถแพงกว่า 2-3 เท่า รถมีอายุใช้งานแค่ 10 ปี ค่าที่จอดแพงกว่าค่าอาหารที่กินทั้งวัน และมีการลดหย่อนภาษีสำหรับรถที่แจ้งความจำนงว่า เป็นรถวันหยุด จะมีป้ายทะเบียนสีแดง วิ่งได้แค่เสาร์อาทิตย์ ถ้าเอาออกมาวิ่งวันธรรมดาต้องแจ้งไว้ก่อนทางคอมพิวเตอร์

ถ้าตำรวจเจอแล้วเช็กว่าไม่ได้แจ้ง โดนหักคะแนน

คะแนนสำคัญมาก เพราะถ้าโดนหักหมดก็โดนริบใบอนุญาต แถมใบอนุญาตก็ต้องต่อทุก 2 ปี ซึ่งจำนวนก็จำกัดอีก ราคาจึงสูงมาก เรียกได้ว่ากว่าจะขับรถในสิงคโปร์ได้มันยากเย็นและใช้เงินเยอะ แต่เขาทำระบบขนส่งไว้ดีมาก คนก็เลยไม่ต้องใช้รถส่วนตัวสักเท่าไหร่

ประเทศสิงคโปร์ทำให้เห็นว่า แม้เขาจะไม่ได้มีทุกอย่างพร้อมสรรพมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ในอดีตไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนประเทศอื่นๆ มาก่อน แต่เขาไม่หยุด ไม่ยอม ไม่อยู่กับที่ หาหนทางแก้ไข หาทางอยู่รอด ดิ้นรน อดทน เพื่อให้ประเทศดีขึ้นเรื่อยๆ

ไม่มีอะไรเป็นข้อจำกัด ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

แล้วจะไปเยือนใหม่นะ…