ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2561 |
---|---|
เผยแพร่ |
กรองกระแส
กลยุทธ์ 2 พรรค
ต่อยอดอำนาจให้ คสช.
พลัง ประสานพลัง
เด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับว่า สิ่งที่เรียกว่า “พรรค คสช.” ในทางเป็นจริงจะมีเพียง 2 พรรคเท่านั้น กล่าวคือ 1 พรรคพลังประชารัฐ และ 1 พรรครวมพลังประชาชาติไทย
แม้จะมีชื่อพรรคประชาชนปฏิรูปตั้งแต่หลังสถานการณ์เดือนสิงหาคม 2559
แม้เมื่อมีการจดแจ้งชื่อจะมีการจัดตั้งพรรคทางเลือกใหม่ พรรคพลังชาติไทย พรรคพลังธรรมใหม่ ก็ตาม
แต่มีความเป็นไปได้ว่า ไม่ว่าพรรคประชาชนปฏิรูป ไม่ว่าพรรคทางเลือกใหม่ ไม่ว่าพรรคพลังชาติไทย ไม่ว่าพรรคพลังธรรมใหม่ จะถูกจัดให้อยู่ระยะที่ห่างออกไป ขณะที่ความมั่นใจจะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ กับพรรครวมพลังประชาชาติไทยมากกว่า
นี่คือสถานการณ์ในเดือนมิถุนายน 2561
เพราะว่าพรรคพลังประชารัฐได้รับมอบหมายให้ชูนโยบายประชารัฐ โครงการไทยนิยมยั่งยืนโดยตรง
เพราะว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยคือเงาสะท้อนของ “กปปส.” กับ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” อันเท่ากับเป็นการรวบรวมความจัดเจนจากก่อนรัฐประหาร 2549 กับความจัดเจนก่อนรัฐประหาร 2557 เข้าด้วยกัน
บทบาท การดูด
พรรคพลังประชารัฐ
หากไม่มีความมั่นใจ พรรคพลังประชารัฐคงไม่ใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นกองบัญชาการใหญ่ในการดูดและสำแดงพลัง
เห็นได้จากกรณีนายสกลธี ภัททิยกุล
เห็นได้จากกรณีนายสนธยา คุณปลื้ม นายอิทธิพล คุณปลื้ม และตามมาด้วยการอาสาของซุ้มสุโขทัย ซุ้มฉะเชิงเทรา ในการดูดอดีต ส.ส. เข้ามา ตามรายงานล่าสุดเฉพาะที่เป็นบทบาทของซุ้มสุโขทัยก็มีไม่ต่ำกว่า 60
พลังดูดที่พรรคพลังประชารัฐสำแดงออกสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจและเงินทุนมหาศาล
เพราะการดูดย่อมสัมพันธ์กับเงิน สัมพันธ์กับผลประโยชน์
บทบาทด้านหลักของพรรคพลังประชารัฐก็คือ การแปรความสำเร็จจากแนวทางประชารัฐ แนวทางไทยนิยม ให้บังเกิดพลัง บังเกิดความยั่งยืน โดยมีอดีต ส.ส.เป็นตัวขับเคลื่อน ใช้ความจัดเจนจากพรรคสหประชาไทย พรรคสามัคคีธรรมมาเป็นเส้นเลือดสำคัญ
นี่คือการจัดวางอันสร้างความแตกต่างระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ขึ้นต้น ลำไม้ไผ่
กลายเป็นบ้องกัญชา
การผนึกตัวรวมพลังของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เข้ากับนายประสาร มฤคพิทักษ์ นายสุริยะใส กตะศิลา เหมือนกับอาศัยความจัดเจนของพรรคมหาชนเข้ากับพรรคการเมืองใหม่ โดยมีพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยเป็นตัวเชื่อม
ประกาศเจตจำนงเป็นพรรคของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน
ขณะเดียวกัน พลันที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยประสานเข้ากับอำนาจและบารมีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำให้เห็นการผนวกตัวรวมพลังจากบทเรียนก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 กับรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 เข้าด้วยกัน
กระนั้นเมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ยอมเล่นบท “เบื้องหลัง” อย่างที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ โดยถึงกับออกมาหลั่งน้ำตาประกาศเป็น “โซ่ข้อกลาง” ให้กับพรรครวมพลังประชาชาติไทย ความพยายามที่จะขับเคลื่อนพรรคการเมืองใหม่เพื่อสร้างจุดขายให้แตกต่างไปจาก “พรรค คสช.” อื่นๆ ก็เริ่มแปรเปลี่ยนและเข้าไปอยู่ในปลักเดียวกันกับพรรคพลังประชารัฐโดยอัตโนมัติ
อำนาจนำภายในพรรคจึงไม่ใช่เป็นของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ หากแต่เป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มากกว่า
นี่คือสิ่งที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ มิได้คาดหมายมาก่อน
การเมือง น้ำเน่า
การเมือง แสนเก่า
การเกิดขึ้นของ “พรรค คสช.” ผ่านพรรคพลังประชารัฐกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย จึงเท่ากับเป็นการฟื้นอดีตของพรรคสามัคคีธรรมขึ้นมาเป็นฐานในทางการเมือง สร้างความมั่นใจให้ คสช. ในการสืบทอดอำนาจ
นอกเหนือจากกฎกติกาอันกำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
นอกเหนือจากรากฐานทางการเมืองที่สะสมเอาไว้ผ่านกองทัพ ผ่านระบบราชการ นับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
จึงเห็นคำประกาศรักษารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 อย่างเหนียวแน่นและมั่นคง
จึงเห็นคำขานรับอันมาจาก คสช. ไม่ว่าจะโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ด้วยความอบอุ่นเป็นอย่างสูงเท่ากับวางน้ำหนักให้กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สร้างผลงานในการปูทางและสร้างเงื่อนไขผ่าน กปปส. กระทั่งนำไปสู่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ในที่สุด