นิธิ เอียวศรีวงศ์ : ข่าวลือ

นิธิ เอียวศรีวงศ์

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ว่ากันว่า “ข่าวลือคืออาวุธของคนไร้อำนาจ”

ในโลกยุคปัจจุบันซึ่งข่าวลือสามารถแพร่ขยายไปได้กว้างไกลในพริบตา เพราะผู้คนสามารถเข้าถึงสื่อใหม่ได้อย่างง่ายดาย ซ้ำยังมีการกลืนเข้าหากันระหว่างสื่อใหม่และสื่อเก่าอีกด้วย สิ่งที่ลือในทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊ก ก็อาจปรากฏเป็นข่าวในทีวี, วิทยุ, หนังสือพิมพ์ได้ คนไร้อำนาจจึงได้อาวุธที่ทรงประสิทธิภาพสูง

ข่าวลือคืออะไร ไม่จำเป็นว่าข่าวลือจะต้องไม่จริงเสมอไปนะครับ แต่ข่าวลือไม่สามารถบอกแหล่งที่มาของข่าวได้ชัดเจน (ด้วยเหตุผลต่างๆ) จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือเท็จ

แต่ข่าวลือก็ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ โดยไร้สาเหตุ ไม่ใช่ลือส่งเดชนะครับ ข่าวลือต้องมีฐานจากเรื่องจริง – สภาพจริง, คนจริง, ความเป็นไปได้จริง ฯลฯ – อยู่ทั้งนั้น จะลือว่ามีมนุษย์ต่างดาวลงมาเยี่ยม โดยขาดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมรองรับนั้นไม่ได้ แต่เพราะนักวิทยาศาสตร์เองพูดว่า มีความเป็นไปได้ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา (เหมือนหรือเหนือเรา) อยู่ในจักรวาล และหากมีจริง ก็เป็นไปได้อีกว่าเขาพยายามติดต่อกับเรา เหมือนที่เราพยายามติดต่อกับเขา

แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพียงเท่านี้ไม่พอ ยังต้องมีฐานทางวัฒนธรรมรองรับด้วย อย่างที่ครูผมท่านหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ตามสถิติแล้ว มนุษย์ต่างดาวถูกลือว่าลงมาติดต่อกับคนอเมริกันมากที่สุด และรองลงมาในบัดนี้คือจีน

เพราะทั้งสองชาติต่างมีสำนึกว่าตัวเป็นศูนย์กลางของโลกน่ะสิครับ ผมเดาเอาว่ามนุษย์ต่างดาวไม่เคยลงมาติดต่อกับชาวทัสสะได (ประชาชนในเขตป่าของฟิลิปปินส์) หรือชนพื้นเมืองของปาปัวนิวกินีเลย (แต่อาจมีเทวดาลงมาพูดคุยกับพวกเขาเป็นประจำ – ก็เรื่องของฐานทางวัฒนธรรมอีก)

ดังนั้น ข่าวลือจึงเป็นอาวุธได้ เพราะมีฐานอยู่กับสิ่งที่คนเชื่อว่าจริงอยู่แล้ว การไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน หรือพิสูจน์ไม่ได้จึงเป็นเรื่องเล็ก

ยิ่งกว่านั้น ยังมีแนวโน้มว่าคนชอบ “ร่วม” ในข่าวลือ ผมใช้คำว่า “ร่วม” เพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า “เชื่อ” คือไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ชอบที่จะเข้าร่วม เช่น ลือต่อ หรืออ้างถึงโดยตรงหรือโดยอ้อม หรืออย่างน้อยก็แสดงว่ารู้นะว่าลืออะไรกัน

ทำไมหรือครับ? ก็เพราะการร่วมในข่าวลือคือการร่วมอยู่ในชุมชน ไม่ต่างจากการนินทา ร่วมวงนินทาเมื่อไร ก็เท่ากับได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ท่ามกลางความโดดเดี่ยวของชีวิตในเมือง การได้ร่วมอยู่ในชุมชนมีความสำคัญนะครับ

(อันที่จริง ข่าวลือและการนินทานั้นแตกต่างกันอย่างสำคัญคือ นินทาเป็นเรื่องของบุคคล (อื่น) ข่าวลือเป็นเรื่องสาธารณะ แต่ก็เหมือนกันตรงที่มันเกี่ยวกับอำนาจทั้งคู่)

นอกจากนี้ ข่าวลือยังเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาของสังคมอีกด้วย เช่น ที่ลือกันว่าโลกร้อนทำให้กรุงเทพฯ จมทะเลนั้น ในระยะแรกก็เป็นผลให้กลุ่มคนรวย พากันมาซื้อบ้านที่เชียงใหม่ ถึงจะดูขี้ตื่น แต่ก็จะเป็นเหตุให้เราค่อยๆ ร่วมกันคิดว่าจะแก้ปัญหากรุงเทพฯ ในภาวะโลกร้อนได้อย่างไรในอนาคต

อันที่จริง ถ้าขยันพอจะนั่งอ่านความเห็นเกี่ยวกับข่าวลือออนไลน์กันอย่างถ้วนถี่ (ผมไม่ได้ทำ แต่มีฝรั่งคนหนึ่งทำ) ก็จะพบว่ามีกระบวนการสร้างการเรียนรู้ในการถกเถียงอภิปรายข่าวลืออยู่หลายขั้นตอน นับตั้งแต่ตักเตือนให้ระมัดระวังอย่าเชื่อถือ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ตรวจสอบความจริง ฯลฯ จนถึงการให้ความหมาย (ทางการเมือง, สังคม, เศรษฐกิจ หรือวัฒนธรรม) แก่ข่าวลือนั้น

และเพราะอาศัยสื่อออนไลน์ ข่าวลือสามารถทำได้ในวงกว้าง โดยผู้เข้าร่วมมีมากหน้าหลายตา ทั้งคนที่ (อ้างว่า) เป็นคนภายใน, คนที่ติดตามเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิด, คนที่แสดงความคมคายในความคิดเห็น คนที่เอาหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่ามาค้าน หรือมาสนับสนุน ฯลฯ เมื่อข่าวลือนั้น “ตกผลึก” (ตามกระบวนการที่กล่าวถึงข้างบน) ข่าวลือนั้นก็กลายเป็นความรู้ของสังคมไปโดยปริยาย จริงเสียยิ่งกว่าจริงอีกครับ เพราะมันกลายเป็นความรู้ของคนจำนวนมากไปแล้ว และเมื่อเป็นความรู้ ก็ย่อมกำหนดพฤติกรรมของเขาในระดับหนึ่ง

และนี่คือเหตุผลอย่างหนึ่งที่สื่อเก่าทั้งหลาย เห็นเป็นหน้าที่ต้องรายงานข่าวลือด้วย คนแก่ที่ถูกสอนมาว่า อย่าไปเอาจริงเอาจังกับข่าวลือ ควรคิดใหม่ได้แล้วครับ

ยังมีอะไรที่น่าประหลาดเกี่ยวกับความรู้ที่มาจากข่าวลืออยู่เหมือนกันนะครับ ว่าเฉพาะประเทศไทย เอกสารในวิกีลีกส์กลับช่วยยืนยันข่าวลือที่ “ตกผลึก” แล้วอยู่มากทีเดียว ยืนยันโดยคนใกล้ชิด, คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ, หรือคนที่มีโอกาสรู้เห็นเป็นต้น ความรู้ที่ข่าวลือสร้างขึ้นด้วยกระบวนการ “ตกผลึก” ดังที่กล่าว จึงไม่ใช่ความรู้ที่เลื่อนลอยเลย

นี่ว่าเฉพาะประเทศไทยนะครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นเงื่อนไขเฉพาะของประเทศไทย หรือเป็นอย่างนี้ในทุกสังคมที่ข่าวลือถูกเผยแพร่ออนไลน์เหมือนกันหมด เช่น อาจเป็นเพราะเกิดความแตกแยกภายในสถาบันหลักๆ ของสังคมไทยมากในช่วงนี้ จึงทำให้ข่าวลือทั้งหลายเกิดขึ้นจากการจงใจ “ปล่อย” ของคนในวงการเองเป็นต้น

เมื่อข่าวลือเปลี่ยนสถานะไปด้วยเครื่องมือสมัยใหม่ จนทำให้ข่าวลือกับข่าว “จริง” แยกออกจากกันไม่ได้เช่นนี้ จะว่าคนไร้อำนาจมีอาวุธที่ร้ายแรงขึ้นก็ได้ แต่ในขณะเดียวกันคนมีอำนาจก็ได้อาวุธที่ร้ายแรงขึ้นในการต่อสู้กันเองไปพร้อมกัน

นักการเมืองรู้จักใช้ข่าวลือมาเป็นประโยชน์ทางการเมืองมานานแล้ว เกาติลยะผู้แต่งอรรถศาสตร์เมื่อสองพันปีก่อน ก็สอนพระราชาให้สร้างข่าวลือถึงกฤษฎาภินิหารต่างๆ ของพระองค์แก่ “พสกนิกร” อยู่เสมอ

ในเมืองไทย ข่าวลือที่เลื่องลือมากในประวัติศาสตร์ เห็นจะเป็นเรื่อง “ปรีดีฆ่าในหลวง” นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ปลุกปั่นข่าวลือนี้กับสถานทูตอังกฤษและอเมริกัน (ตามบันทึกรายงานของทูต) ส่วนในประเทศก็จ้างคนไปตะโกนข้อความนี้ในโรงหนัง สร้างบรรยากาศที่จะทำให้ทหารยึดอำนาจด้วยการรัฐประหาร โดยมีผู้ต่อต้านน้อยลง (และรองหัวหน้าพรรคก็เข้าไปอยู่ในกระทรวงกลาโหมคืนที่เขายึดอำนาจ ส่วนหัวหน้าพรรคก็ได้รับแต่งตั้งเป็น นรม.)

กลายเป็นสูตรสำเร็จในการยึดอำนาจหลังจากนั้นสืบมาจนปัจจุบัน นั่นคือต้องสร้างข่าวลือว่า เหยื่อที่จะถูกยึดอำนาจคุกคามพระมหากษัตริย์เสมอ

ข่าวลือที่เด็ดดวงของอเมริกันในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ คงเป็นเรื่อง “กรณีอ่าวตังเกี๋ย” ที่ว่าเรือรบอเมริกันถูกเวียดนามเหนือโจมตีในทะเลหลวง ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่ก็ลือกันจนทำให้ประธานาธิบดีได้อำนาจจากสภาในการตอบโต้ได้ไม่มีขีดจำกัด จนประธานาธิบดีพาอเมริกันไปจมปลักในเวียดนามอีกหนึ่งทศวรรษ

และเมื่อเร็วๆ นี้เอง ข่าวลือเรื่องอิรักมีอาวุธมหาประลัยในครอบครอง ซึ่งก็ไม่จริงอีกนั่นแหละ แต่เปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีได้อำนาจจากสภาทำสงครามกับอิรัก จน – กระทั่งอิรักยังเละไม่เลิกถึงทุกวันนี้

แม้ดูประหนึ่งว่า ข่าวลือเป็นอาวุธที่ผู้มีอำนาจใช้ห้ำหั่นผู้มีอำนาจด้วยกันเอง มากกว่าใช้เพื่อห้ำหั่นผู้ไร้อำนาจ แต่หากผู้ไร้อำนาจอาจหาญขึ้นเวทีไปแข่งอำนาจเมื่อไร ผู้มีอำนาจก็อาจใช้ข่าวลือเป็นอาวุธกับผู้ไร้อำนาจได้ทันทีเหมือนกัน เช่น “ชายชุดดำ” ซึ่งยังจับไม่ได้สักคนจนป่านนี้ เป็นต้น

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ข่าวลือไม่ใช่เสียงกระซิบข้างหูอีกแล้ว และด้วยเหตุดังนั้นข่าวลือจึงกลายเป็นอาวุธที่ร้ายแรง ซึ่งถูกใช้โดยคนไร้อำนาจและมีอำนาจเหมือนๆ กัน ข่าวลือจึงสามารถกำหนดชะตากรรมของประเทศอาจจะมากกว่าข่าวจริงเสียอีกซ้ำในบางกรณี

ระบอบปกครองทั้งระบอบ – ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ – ถูกท้าทายจนถึงกับล่มสลายได้ด้วยอาวุธข่าวลือ เพราะไม่มีสถาบันทางการเมืองและสังคมใดปลอดพ้นจากการโจมตีด้วยอาวุธชนิดนี้ได้

เราจะลดความเสี่ยงในการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางอาวุธร้ายแรงนี้ได้อย่างไร

วิธีที่โง่ที่สุดและไม่ได้ผลที่สุด คือวิธีที่ทำในประเทศไทย นั่นคือ ใช้อำนาจทางกฎหมายที่มีอยู่ หรือยืดไปจนกลายเป็นกฎหมายเถื่อน เพื่อกำจัดข่าวลือที่ผู้มีอำนาจไม่ชอบมิให้แพร่หลายได้ ดังกรณีตัวอย่าง ม.112 ของกฎหมายอาญา แม้ว่าจับดำเนินคดีกันปีละเป็นร้อยๆ แต่จนถึงทุกวันนี้ นักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังระบุว่า ที่ยังไม่ถูกจับก็มีอีกเป็นร้อยๆ เหมือนกัน แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าวิธีโง่ๆ นี้ไม่ได้ผลอย่างไร (แต่โดยตัวของคำเรียกร้องให้ปราบเอง ก็เป็นข่าวลืออีกชนิดหนึ่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ใช้เป็นอาวุธทำร้ายฝ่ายตรงข้าม)

ตรงกันข้ามกับวิธีดังกล่าวก็คือ การทำให้ข่าวลือถูกพิสูจน์ความจริงได้ง่ายขึ้น เพราะข่าวลือนั้นมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ล่ะสิครับ (เช่น ข่าวลือว่าคุณยิ่งลักษณ์ขึ้น ฮ.ตรวจน้ำท่วมด้วยการกินขนมหัวร่อต่อกระซิก ถูกพิสูจน์ในเวลารวดเร็วว่า เป็นภาพเมื่อครั้งไปหาเสียงต่างหาก ข่าวลือนั้นก็ตายลง)

ซ้ำวิธีโง่ๆ นี้ยังไปฝืนธรรมชาติของสื่อสมัยใหม่ เช่น ฝืนไม่ให้เกิดการกลืนระหว่างสื่อใหม่กับสื่อเก่า ข่าวลือบางเรื่องในสื่อใหม่นั้น สื่อเก่าไม่กล้าแตะเลย ไม่กล้าแม้แต่ลงไปเจาะเพื่อพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ด้วยซ้ำ

ต้องเข้าใจนะครับว่า ข่าวลือในโลกอิเล็กทรอนิกส์นั้น มันมีชีวิตของมันเอง โตเอง แปลงร่างเอง และตายเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ให้กำเนิด ไปขจัดผู้ให้กำเนิดจึงไม่มีประโยชน์อะไรเลย กลับเติมพลังให้แก่ข่าวลือขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ

ข่าวลือจะเป็นอาวุธที่ร้ายแรงน้อยลงในสังคมเปิด โปร่งใสมองเห็นได้ทั่วกันในทุกซอกทุกมุม ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้รายงานไม่ได้ การโตและแปลงร่างของข่าวลือ จะถูกกำกับด้วยข้อเท็จจริงจำนวนมาก ถึงพิสูจน์ความจริงของข่าวลือไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ทำให้ความร้ายแรงของอาวุธข่าวลือทื่อลงไประดับหนึ่ง

ในทางตรงกันข้าม หากยิ่งเปิดยิ่งพิสูจน์ก็พบว่าข่าวลือนั้นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำอย่างไร ก็ตัวใครตัวมันสิครับ

ตัวใครตัวมันในที่นี้ก็คือ ใครทำอะไรที่ไม่ดีไว้ ก็รับผิดชอบเอาเอง เราไม่อยากอยู่ในสังคมที่ไม่เปิดโอกาสให้ใครมาหน้าไหว้หลังหลอกกันหรอกหรือครับ