ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มิถุนายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ข่าวโรงเรียนอนุบาลปัตตานีห้ามไม่ให้เด็กมุสลิมสวมฮิญาบเข้าเรียนเป็นเรื่องน่าตกใจ
เพราะไม่เพียงคำสั่งห้ามจะเกิดขึ้นหลังจากกระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้เด็กชายและหญิงแต่งตัวตามหลักศาสนาเข้าเรียนได้
สื่อหลายค่ายยังระบุตรงกันว่าวัดและเครือข่ายคนพุทธเป็นต้นเหตุให้โรงเรียนมีคำสั่งที่ขัดแย้งกับมติกระทรวง
ตามเอกสารในสื่อหลายแขนง เจ้าคณะจังหวัดปัตตานีระบุว่าโรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นโดยยืมที่ธรณีสงฆ์ของวัดนพวงศาราม โรงเรียนจึงไม่อนุญาตให้มีการแต่งตัวตามหลักศาสนาอิสลามมาตั้งแต่ต้น
ส่วนคณะกรรมการโรงเรียนยุคปัจจุบันก็มีมติตามแนวทางนี้ คำสั่งของกระทรวงจึงสวนทางกับวัดและโรงเรียน
ตามที่พระไพจิตรสาราณียการ ผู้เป็นเจ้าคณะจังหวัดกล่าวอ้าง การที่กระทรวงให้นักเรียนมุสลิมแต่งตัวตามหลักศาสนามาเรียนได้นั้นสร้างความไม่พอใจให้วัดและพุทธศาสนิกชนอย่างรุนแรง
หลังจากเด็กอนุบาลแต่งตัวตามหลักอิสลามดังที่กระทรวงศึกษาฯ อนุญาตในวันที่ 16 พฤษภาคม วันรุ่งขึ้นก็เกิดเหตุครูลากิจและลาป่วยจนงดสอนราว 20 คน
จากนั้นผู้ปกครองไทยพุทธก็อ้างว่าครูไม่พอใจที่เด็กใส่ฮิญาบมาเรียนได้ คณะกรรมการโรงเรียนจึงจัดประชุมในวันที่ 18 พฤษภาคม เพื่อคลี่คลายปัญหาร่วมกัน
จากการเปิดเผยของประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานีผู้เป็นคณะกรรมการโรงเรียน คณะกรรมการอิสลามจังหวัดทำอะไรเรื่องนี้ไม่ได้ ส่วนคณะกรรมการโรงเรียนที่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งกระทรวงศึกษาฯ เรื่องให้เด็กแต่งกายตามหลักศาสนาได้นั้นก็มีเพียง 2 ราย ซึ่งเท่ากับเป็นเสียงส่วนน้อยในที่ประชุม
ล่าสุด ประธานคณะกรรมการอิสลามและพวกอีก 3 คนได้ลาออกจากคณะกรรมการโรงเรียนไปแล้ว
เหตุผลที่เป็นทางการคือแสดงความรับผิดชอบที่ไม่อาจปกป้องให้เด็กมุสลิมแต่งกายตามหลักศาสนาได้
ซึ่งชวนให้เห็นว่าการที่กรรมการโรงเรียนมีคนมุสลิมแค่ 3 จากทั้งหมด 15 คือเหตุของปัญหานี้โดยตรง
การเผชิญหน้าที่ยกระดับจากเรื่องโรงเรียนเป็นเรื่องศาสนาแบบนี้เสี่ยงสร้างปัญหาการเมือง
ผลก็คือรัฐมนตรีนายพลสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแก้ปัญหานี้
ในที่สุดศึกษาจังหวัดและผู้อำนวยการโรงเรียนแถลงว่าให้เด็กมุสลิมสวมฮิญาบมาเรียนได้ ส่วนสมาพันธ์ชาวไทยพุทธตอบโต้โดยขู่ชุมนุมเพื่อล้มคำสั่งนี้ทันที
สัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด เจ้าอาวาสจากวัดที่ยะลาซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มไทยพุทธแจ้งความว่าถูกสองเพจขู่ฆ่า
โรงเรียนเปิดเรียนโดยมีทหารตั้งชุดรักษาความสงบตามประตูเข้าออก
ส่วนเด็กอนุบาลแต่งฮิญาบไปเรียนในสภาพแวดล้อมที่มีการอารักขาตลอดเวลา
จริงอยู่ว่าคนพุทธต่อต้านคนมุสลิมอย่างเปิดเผยในช่วงที่ผ่านมาหลายกรณี การคัดค้านการสร้างมัสยิดจากน่านถึงขอนแก่นเป็นหลักฐานของการไม่ยอมรับความแตกต่างทางศาสนาโดยตัวเองอยู่แล้ว
แต่การกระทำที่ถึงขั้นอ้างวัดเพื่อขวางเรื่องอนุบาลแบบนี้ชี้ว่าคนพุทธมาถึงจุดที่ใช้ศาสนาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยตรง
ต่อให้เด็กมุสลิมจะใส่ฮิญาบเรียนอนุบาลได้ในบั้นปลาย กระบวนการทั้งหมดนี้ชี้ว่าความสัมพันธ์ของไทยพุทธกับมลายูมุสลิมในสามจังหวัดตกต่ำถึงจุดที่น่าวิตก
เพราะนอกจากศาสนาจะถูกใช้เพื่อขัดขวางศาสนาอื่นอย่างโจ่งแจ้ง ความแตกต่างทางศาสนายังกลายเป็นความขัดแย้งในชุมชนที่ต้องคลี่คลายด้วยกำลัง
แน่นอนว่าความไม่ลงรอยระหว่างคนต่างอัตลักษณ์ในชายแดนใต้นั้นเป็นธรรมดา
แต่อนุบาลปัตตานีเป็นพื้นที่กลางที่คนไทยพุทธและมลายูมุสลิมใช้ร่วมกันโดยตลอด
ที่คณะสงฆ์กับที่คนมุสลิมบริจาคทำให้เกิดโรงเรียนซึ่งสอนเด็กทุกศาสนาหลายปีแล้ว ภราดรภาพข้ามศาสนาให้ผลเป็นพื้นที่ซึ่งทุกฝ่ายใช้สอยร่วมกัน
มองในแง่นี้ การอ้างวัดจนเด็กมุสลิมเรียนไม่ได้จึงทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างคนต่างศาสนาลงไปโดยตรง
เพื่อให้เห็นว่าสถานการณ์นี้น่าเป็นห่วงยิ่งขึ้น ควรระบุด้วยว่าการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือจนนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างคนในชุมชนเกิดขึ้นในเวลาที่รัฐพยายามช่วงชิงมวลชนจากฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง ความเดียดฉันท์ระหว่างศาสนาในกรณีนี้จึงมากจนแม้กระทั่งรัฐบาลเผด็จการทหารยังรู้ว่าไม่โอเค
คำถามคืออะไรทำให้คนมีอคติจนใช้ศาสนาต้านศาสนาอื่นถึงขั้นอาจสร้างปัญหาด้านความมั่นคงด้วยซ้ำไป?
ฝ่ายต้านอิสลามมักใช้การสร้างมัสยิดเป็นข้ออ้างว่าอิสลามจะยึดประเทศไทย
แต่ที่จริงการสำรวจประชากรของสภาพัฒน์พบว่าคนไทยที่นับถืออิสลามมีทุกจังหวัด การสร้างมัสยิดจึงไม่ต่างจากการสร้างวัดในพื้นที่คนพุทธ เว้นแต่จะมีเป้าหมายว่าคนไทยอิสลามต้องไม่มีที่ประกอบศาสนกิจเพิ่มขึ้นในประเทศไทย
การปกป้องพุทธศาสนาเป็นเหตุผลอีกข้อที่ฝ่ายต้านอิสลามพูดตลอดเวลา แต่ไม่เคยมีคำอธิบายที่น่าเชื่อถือว่าอิสลามเป็นภัยต่อพุทธตรงไหน เพราะถึงแม้อิสลามจะต่างจากพุทธ แต่ศาสนาอื่นและพุทธนิกายอื่นที่ต่างจากพุทธของไทยก็มีเยอะไปหมด
และคำสอนที่ผิดกันนั้นไม่ใช่เหตุให้ใครเป็นภัยแบบที่ชอบพูดกัน
ตราบใดที่ประเทศไทยไม่มีมัสยิดเท่าร้านสะดวกซื้อของเจ้าสัว ตราบนั้นข้อกล่าวหาเรื่องอิสลามยึดประเทศย่อมเป็นเรื่องเหลวไหล
ยิ่งกว่านั้นมุสลิมก็คือพลเมืองไทย จนไร้เหตุผลที่จะพูดว่าคนไทยยึดประเทศไทยด้วย ไม่ต้องพูดว่าการอยู่ร่วมกับมุสลิมที่มีธรรมนั้นดีกว่าการอยู่กับคนพุทธที่ไร้ศีลธรรม
ถ้าอิสลามเป็นภัยต่อพุทธศาสนาจริง พุทธธรรมคงมีบทบัญญัติให้คนพุทธสกัดศาสนานี้เหมือนขจัดอบายมุขไปแล้ว แต่ไม่มีคำสอนของพระพุทธองค์ที่สอนให้สร้างอุปสรรคแก่ศาสนิกชนในการประกอบศาสนกิจนี้
การต่อต้านอิสลามจึงไม่ได้แสดงวิถีแห่งพุทธเท่าแสดงอวิชชาที่ใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือ
ไม่ว่าจะมองในแง่ไหน การต่อต้านอิสลามมีเหตุจากอคติยิ่งกว่าการปกป้องประเทศและพระพุทธศาสนา ต้นตอของอคตินี้แยกไม่ออกจากการปฏิเสธว่าอิสลามคือส่วนหนึ่งของความเป็นไทย รวมทั้งความกังวลในความอ่อนแอของพุทธศาสนาจนใช้ประเด็นนี้ปลุกระดมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในชาวพุทธขึ้นมา
นับตั้งแต่คนมุสลิมตายเพราะเจ้าหน้าที่รัฐที่กรือเซะและตากใบเกือบ 200 รายในปี 2547 นักวิชาการพยายามอธิบายว่าการเชื่อมโยงอิสลามกับ “แขก” ทำให้คนมองว่าอิสลามคือศัตรูของความเป็นไทย แต่ที่จริงการปิดบังไม่ให้คนเห็นว่ามุสลิมคือส่วนหนึ่งของสังคมไทยต่างหากที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้โดยตรง
อิสลามและมุสลิมคือประชากรที่มีอยู่ในสังคมไทยแต่ถูกทำให้มองไม่เห็นจนแปลกแยกราวมาจากต่างพิภพ
กระบวนการนี้เป็นผลผลิตของสังคมซึ่งความเป็นอิสลามถูกกดทับเมื่อเทียบกับศาสนาของคนส่วนใหญ่ มิหนำซ้ำก็คือการเป็นสังคมซึ่งไม่มีพื้นที่ให้คนต่างศาสนารับรู้ถึงการดำรงอยู่และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
พูดสั้นๆ สังคมไทยเป็นสังคมที่ De-Islamization จนความเป็นอิสลามถูกทำให้เลือนหายแทบจะสมบูรณ์แบบในเครือข่ายทางสังคมที่อยู่นอกชุมชนมุสลิมออกไป
ยกตัวอย่างง่ายๆ เราไม่ใช่ประเทศซึ่งรัฐจัดพื้นที่ละหมาดเป็นระบบเหมือนหลายประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือคริสต์ เรื่องเล็กนี้สะท้อนภาพใหญ่ว่าเราไม่มีสถาบันสังคมที่ทำให้คนเห็นการอยู่ร่วมกันของคนต่างศาสนา เราจึงไม่มีเงื่อนไขทางสังคมให้คนพบพานเพื่อครุ่นคิด-ปรับตัวจนอยู่ร่วมกับศาสนาอื่นได้เช่นกัน
เราเป็นสังคมที่สร้างคนพุทธให้โวยว่าจะมีมัสยิดทำไมในพื้นที่ซึ่งไร้มัสยิด แต่เราไม่ใช่สังคมที่ผลิตคนพุทธซึ่งเกื้อกูลจนคิดได้ว่าทำไมหลายพื้นที่ไร้มัสยิดจนมุสลิมลำบากที่จะปฏิบัติศาสนกิจตลอดเวลา
นอกจากท่องจำว่าประเทศมีคนมุสลิม 4% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่สามจังหวัดชายแดน อิสลามอยู่ในสังคมไทยโดยถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทยน้อยมาก ความรู้สึกว่าพุทธคือแก่นของความเป็นไทยขยายตัวจนคนพุทธระแวงอะไรที่ไม่พุทธไปหมด แม้ในชีวิตจริงคนต่างศาสนาจะไม่ใช่คนที่ทำร้ายเราที่สุดก็ตาม
ขณะที่คนไทยอยู่ในโครงสร้างการรับรู้ที่ประเทศเสมือนพุทธภูมิไร้อิสลาม ความเป็นจริงคืออิสลามเป็นศาสนาเดียวที่กำกับศาสนิกชนจากการกิน, แต่งตัว, ภาษา ฯลฯ จนอยู่ที่ไหนก็มีวิถีชีวิตต่างจากคนอื่นที่สุด ไทยพุทธที่เผชิญอิสลามในบริบทนี้จึงกลายพันธุ์เป็นลัทธิเขม่นอิสลามได้ง่ายจนมองอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคาม
ด้วยเงื่อนไขแบบนี้ มุสลิมบางกลุ่มก็มีโอกาสเขม่นไทยพุทธเพียงเพราะปฏิบัติตัวต่างกันได้เหมือนกัน
และตราบใดที่คนต่างศาสนาเห็นว่าวิถีชีวิตที่แตกต่างกันเป็นเรื่องผิดปกติแบบนี้
ตราบนั้นความรู้สึกว่าศาสนิกชนในศาสนาอื่นเป็นภัยคุกคามศรัทธาและวิถีชีวิตของตัวเองก็จะคงอยู่ต่อไป
ใครๆ ก็รู้ว่าพุทธในสังคมไทยไม่ได้เสื่อมเพราะกางเกงขายาวและฮิญาบ แต่ในกรณีอนุบาลปัตตานี การยอมให้เด็กมุสลิมแต่งตัวตามหลักศาสนาคือการทำให้อิสลามปรากฏในพื้นที่ครั้งแรก คนในโลกซึ่งกลบฝังอิสลามมานานจนไม่ยอมให้อิสลามยืนหยัดจึงมีแน่ แม้เสื้อเด็กจะไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาแง่ไหนก็ตาม
นอกโรงเรียนอนุบาลออกไป คนพุทธทุกคนรู้ว่าศาสนาพุทธอยู่ไกลตัวจนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนานแล้ว
ศาสนิกชนเชื่อมโยงกับศาสนาผ่านพิธีกรรมปีละไม่กี่วันจนศาสนกิจเป็นเรื่องพิเศษมากกว่าสภาวะปกติ
ส่วนคณะสงฆ์ก็ต้องการบุคลากรจนผ้ากาสาวพัสตร์ไม่อาจรับประกันธรรมของสังฆบริษัททุกกรณี
เมื่อศาสนาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิต การคลายศรัทธาจากศาสนาก็ย่อมเป็นปรากฏการณ์สากล ไม่ต้องพูดถึงข่าวสึกสามพระชั้นสมเด็จและการเมืองที่ยุ่งกับวงการสงฆ์อย่างหนักหลังปี 2557 ที่มีผลต่อความรู้สึกของประชาชนต่อองค์กรพุทธแน่ๆ
จนเป็นธรรมดาที่สังฆบริษัทจะหวั่นไหวต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
ในสามจังหวัดชายแดนใต้ พุทธไม่ใช่ศาสนาของคนส่วนใหญ่จนเป็นไปได้ที่สงฆ์จะกังวลเรื่องสถานะมากเป็นพิเศษ
แต่การปกป้องพุทธศาสนาโดยวิธีกดอิสลามอย่างอนุบาลปัตตานีนั้นใช้ไม่ได้
เพราะไม่เพียงทำให้พุทธขัดแย้งกับคนส่วนใหญ่ หากยังทำให้ศาสนาเป็นลัทธิพวกพ้องเหมือนเด็กยกพวกตีกัน
หากเรียนรู้อิสลามสักนิด พุทธบริษัทคงรู้ว่าฮิญาบสำหรับอิสลามคือการเชื่อมโยงตัวเองกับพระเจ้าโดยควบคุมสรีระ ซ้ำยังเป็นบรรทัดฐานความเป็นหญิงในสังคมมุสลิม ฮิญาบจึงต่างจากหมวกที่คนพุทธถอดเมื่อไรก็ได้ และวัดที่สั่งปลดฮิญาบย่อมถูกมองว่าขวางศรัทธาต่อพระเจ้าตลอดจนก่อปัญหาให้เด็กมุสลิม
การตั้งตนเป็นปรปักษ์กับคนต่างศาสนาไม่เคยทำให้ศาสนาไหนงอกเงยขึ้น
ไม่ต้องพูดถึงความเสี่ยงที่ศาสนาจะกลายเป็นชนวนของความเกลียดชังทางอัตลักษณ์และสงครามกลางเมือง
พุทธที่ห้ามเด็กสวมฮิญาบจึงเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่ต่างจากอิสลามที่ค้านการสร้างพุทธมณฑลในปัตตานี
ศีลข้อแรกของพุทธศาสนาคือการห้ามฆ่า
ธรรมที่พระศาสดาสอนพุทธบริษัทอันดับต้นจึงได้แก่ความอาทรและเคารพผู้อื่นอย่างที่สุด
พุทธศาสนาท่ามกลางสงครามจากความแตกต่างควรเป็นพื้นที่เปิดให้ทุกคนอยู่ร่วมเพื่อเรียนรู้จะอยู่ด้วยกันให้ได้
เหตุผลง่ายๆ คือการเผยแผ่ธรรมไม่มีทางลุล่วงในสมรภูมิ