ขอบคุณข้อมูลจาก | รักคนอ่าน ฉบับวันที่ 17 มิ.ย. - 23 มิ.ย. 2559 |
---|---|
เผยแพร่ |
มีภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ที่พอเราลืมๆ ไปก็จะพบมันมาโผล่ในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านในร่างแปลง กลายเป็นภาค 2 ภาค 3 ภาคพิสดาร ภาคกำเนิดใหม่ และอะไรอื่นๆ อีกมากมาย
ช่วง 2-3 เดือนนี้ มีภาพยนตร์ภาคต่อให้เลือกชมได้หลายเรื่อง แต่เรื่องที่ฉันสงสัยว่า เออ มันก็อุตส่าห์จะมีภาคต่อออกมากับเขาได้ ก็คือ The Purge
มันเล่าถึงคืนหนึ่งในรอบหนึ่งปี ที่คุณจะมีเวลา 12 ชั่วโมงในการก่อคดีอุกอาจทุกชนิดได้ โดยไม่ผิดกฎหมายจะปล้น จะเผา จะฆ่าก็ทำได้ตามกติกาภายในชั่วโมงมิคสัญญีนี้
ตอนภาคแรกฉาย ฉันก็ไปดูกับเขาด้วย แล้วก็พบว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ขายไอเดียแบบสนุกดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า ความตายในเรื่องนั้นดูจะสวยงามเกินจริง
มันรุนแรง เลือดสาด และกดดัน แต่ภาพความรุนแรงนั้นถูกจัดวางอย่างสวยงามจนเกือบๆ จะเป็นงานศิลปะให้ชื่นชม
ซึ่งฉันคิดว่าความตายจากความรุนแรงตามกติกาที่ถูกกำหนดมาในหนังนั้น มันไม่ควรจะสวยงามแบบนี้ แถมด้วยตัวความคิดหลักของหนังก็ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่เกิด ขึ้นภายใน 12 ชั่วโมง ฉันเลยนึกว่ามันคงจะมีเพียงภาคนี้ (ที่ฉันได้ดู) เพียงภาคเดียวเท่านั้นแหละ
ปรากฏว่าพอมาถึงปีนี้, ภาค 3 ของ The Purge กำลังจะได้เข้าฉาย
ในเมื่อภาคแรกเหมือนเป็นการแนะนำคืนปลดปล่อยนี้ ภาค 2 ก็เป็นการพาออกไปดูบรรยากาศภายนอกในคืนอันคลุ้มคลั่ง ส่วนภาค 3 ที่กำลังจะฉาย ก็จะเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอดของผู้ที่ต่อต้านคืน The Purge ว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนรู้ว่าคุณต่อต้านการปลดปล่อยความคลุ้มคลั่งนี้ แถมคุณยังโดนกำจัดได้ง่ายๆ ภายใต้กติกา 12 ชั่วโมงนั่นด้วย
หลายคนที่ได้ดูมักจะมีด้านมืดในจิตใจโผล่ขึ้นมากระซิบเบาๆ ว่าถ้าบ้านเมืองเรามีแบบนี้บ้าง ใครจะอยู่ในรายชื่อตามล่าตามล้างของเรา หรือ “เรา” จะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อของใครบ้าง
เรามีโอกาสจะเป็นผู้ล่าหรือเป็นเหยื่อมากกว่ากัน
ตลอดชีวิตเราสร้างความโกรธแค้นสะสมไว้ในใจเราหรือในใจของใครเอาไว้บ้าง
เรายังเหลือทางออกแบบไร้คืนปลดปล่อยเช่นในหนังอยู่ใช่หรือไม่
เราลืม
เราให้อภัย
หรือเราจะเอาคืน
“เมืองโสมม” หรือ In Evil Hour เล่าถึงชุมชนแสนสุขและเคร่งศีลธรรมแห่งหนึ่งในละตินอเมริกา ที่ตื่นขึ้นมาเผชิญกับข้อความเสียดสีเผยความลับในบัตรสนเท่ห์ลึกลับไร้ที่มา ซึ่งถูกลอบเอามาติดไว้หน้าบ้านใดบ้านหนึ่งในยามค่ำคืนที่ทุกคนหลับ
ใบติดประกาศเหล่านี้ แพร่ขยายข่าวลือฉาวโฉ่เกี่ยวพันกับบุคคลพึงเคารพระดับนำของเมืองโดยตรง เพียงชั่วข้ามคืน ชุมชนสุขสงบใต้สายฝนพรำกลับท่วมท้นไปด้วยความคับข้องใจที่ไม่มีใครมองหน้ากันได้สนิท ทั้งเรื่องฉ้อฉล อื้อฉาว และฆาตกรรม
“…”เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ไม่น่ามีความหมายอะไรเลย” เขาพูด “หากใครมัวเอาใจใส่กับใบสนเท่ห์เย้ยหยันต่อไปก็จะกลายเป็นบ้าเท่านั้น”
“ใบสนเท่ห์รึ?” หญิงหม้ายถอนหายใจ
“มันเอามาติดหน้าบ้านผมเข้าให้แล้วสิ” นายคาร์ไมเคิลพูด
“เกี่ยวกับคุณรึ?”
“เรื่องของผมเลยล่ะ” นายคาร์ไมเคิลยืนยัน “มันเอามาติดเป็นแผ่นใหญ่ทีเดียวและค่อนข้างมีรายละเอียด เมื่อวันเสาร์ของสัปดาห์ก่อน ดูราวกับเป็นโปสเตอร์หนัง”
หญิงหม้ายลากเก้าอี้มาใกล้โต๊ะ “แบบนี้ช่างน่าอับอาย” เธออุทาน “ไม่น่ามีสิ่งใดก่อให้เกิดการว่าร้ายต่อครอบครัวน่านับถืออย่างของคุณ” นายคาร์ไมเคิลไม่รู้สึกตื่นเต้น
“เนื่องจากภรรยาของผมเป็นคนขาว ลูกที่เกิดมาจึงมีผิวสีแตกต่างกันไป” เขาอธิบาย “ลองนึกภาพดูสิ ทั้งสิบเอ็ดคน”
“แน่นอน” หญิงหม้ายพูด
“แต่ว่า ไอ้ข้อความเยาะหยันสนเท่ห์นั่นมันบอกว่าผมเป็นพ่อของเด็กผิวดำเท่านั้น แล้วมันก็ให้รายชื่อพ่อของเด็กคนอื่น มันยังอุตส่าห์ลากเอา ดอน เชเป มอนเตียล เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย–ขอให้เขาพักผ่อนอย่างสุขสงบด้วยเถิด”
“สามีของฉันด้วย!”
“สามีของคุณ และสามีของสุภาพสตรีอื่นอีกสี่คน” นายคาร์ไมเคิลบอก…”*
เราล้วนถูกฉาบทาด้วยรอยยิ้มและถ้อยคำประโลมใจ
เราสนใจเรื่องของผู้อื่นมากแค่ไหน
เราสนใจเรื่องที่เราทำร้ายผู้อื่นบ้างหรือไม่
เรานินทาเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ดารา พี่น้อง แม้แต่คนที่เราเรียกว่าเพื่อน เรานินทาภายใต้ความเชื่อว่าเราจะได้เข้าใจพฤติกรรมว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้
ไม่เห็นมีอะไรเสียหายนี่นา
เราล้วนป้องกันตัวเองภายใต้การกลบเกลื่อนว่านี่แค่เรื่องล้อเล่น นี่พูดกันขำๆ ความเห็นส่วนตัว ถ้าไม่จริงก็แล้วไป
เราล้วนปิดบัตรสนเท่ห์ให้ผู้คน แต่เราก็ไม่อยากให้ใครมาทำกับเรา
เราทุกคนล้วนเป็นภูเขาไฟแห่งคำโกหกตลบตะแลงตีสองหน้า รอวันปะทุและพรั่งพรูออกมายามที่เราคิดว่าไม่มีใครเห็น
ก่อนจะรีบทำให้มันมอดดับและออกไปเสาะหาเรื่องราวใหม่ๆ มาเป็นเชื้อไฟ
เราล้วนขับเคลื่อนไปด้วยความเกลียดชัง
“เมืองโสมม” (In Evil Hour) เขียนโดย Gabriel Garc?a Marquez แปลโดย ไพรัช แสนสวัสดิ์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์สามัญชน, มีนาคม 2559
*ข้อความจากในหนังสือ