ทราย เจริญปุระ : ขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชัง

มีภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ที่พอเราลืมๆ ไปก็จะพบมันมาโผล่ในโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านในร่างแปลง กลายเป็นภาค 2 ภาค 3 ภาคพิสดาร ภาคกำเนิดใหม่ และอะไรอื่นๆ อีกมากมาย

ช่วง 2-3 เดือนนี้ มีภาพยนตร์ภาคต่อให้เลือกชมได้หลายเรื่อง แต่เรื่องที่ฉันสงสัยว่า เออ มันก็อุตส่าห์จะมีภาคต่อออกมากับเขาได้ ก็คือ The Purge

มันเล่าถึงคืนหนึ่งในรอบหนึ่งปี ที่คุณจะมีเวลา 12 ชั่วโมงในการก่อคดีอุกอาจทุกชนิดได้ โดยไม่ผิดกฎหมายจะปล้น จะเผา จะฆ่าก็ทำได้ตามกติกาภายในชั่วโมงมิคสัญญีนี้

ตอนภาคแรกฉาย ฉันก็ไปดูกับเขาด้วย แล้วก็พบว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่ขายไอเดียแบบสนุกดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า ความตายในเรื่องนั้นดูจะสวยงามเกินจริง

มันรุนแรง เลือดสาด และกดดัน แต่ภาพความรุนแรงนั้นถูกจัดวางอย่างสวยงามจนเกือบๆ จะเป็นงานศิลปะให้ชื่นชม

ซึ่งฉันคิดว่าความตายจากความรุนแรงตามกติกาที่ถูกกำหนดมาในหนังนั้น มันไม่ควรจะสวยงามแบบนี้ แถมด้วยตัวความคิดหลักของหนังก็ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่เกิด ขึ้นภายใน 12 ชั่วโมง ฉันเลยนึกว่ามันคงจะมีเพียงภาคนี้ (ที่ฉันได้ดู) เพียงภาคเดียวเท่านั้นแหละ

ปรากฏว่าพอมาถึงปีนี้, ภาค 3 ของ The Purge กำลังจะได้เข้าฉาย

ในเมื่อภาคแรกเหมือนเป็นการแนะนำคืนปลดปล่อยนี้ ภาค 2 ก็เป็นการพาออกไปดูบรรยากาศภายนอกในคืนอันคลุ้มคลั่ง ส่วนภาค 3 ที่กำลังจะฉาย ก็จะเป็นเรื่องของการเอาชีวิตรอดของผู้ที่ต่อต้านคืน The Purge ว่าจะผ่านคืนนี้ไปได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนรู้ว่าคุณต่อต้านการปลดปล่อยความคลุ้มคลั่งนี้ แถมคุณยังโดนกำจัดได้ง่ายๆ ภายใต้กติกา 12 ชั่วโมงนั่นด้วย

หลายคนที่ได้ดูมักจะมีด้านมืดในจิตใจโผล่ขึ้นมากระซิบเบาๆ ว่าถ้าบ้านเมืองเรามีแบบนี้บ้าง ใครจะอยู่ในรายชื่อตามล่าตามล้างของเรา หรือ “เรา” จะไปอยู่ในบัญชีรายชื่อของใครบ้าง

เรามีโอกาสจะเป็นผู้ล่าหรือเป็นเหยื่อมากกว่ากัน

ตลอดชีวิตเราสร้างความโกรธแค้นสะสมไว้ในใจเราหรือในใจของใครเอาไว้บ้าง

เรายังเหลือทางออกแบบไร้คืนปลดปล่อยเช่นในหนังอยู่ใช่หรือไม่

เราลืม

เราให้อภัย

หรือเราจะเอาคืน

“เมืองโสมม” หรือ In Evil Hour เล่าถึงชุมชนแสนสุขและเคร่งศีลธรรมแห่งหนึ่งในละตินอเมริกา ที่ตื่นขึ้นมาเผชิญกับข้อความเสียดสีเผยความลับในบัตรสนเท่ห์ลึกลับไร้ที่มา ซึ่งถูกลอบเอามาติดไว้หน้าบ้านใดบ้านหนึ่งในยามค่ำคืนที่ทุกคนหลับ

ใบติดประกาศเหล่านี้ แพร่ขยายข่าวลือฉาวโฉ่เกี่ยวพันกับบุคคลพึงเคารพระดับนำของเมืองโดยตรง เพียงชั่วข้ามคืน ชุมชนสุขสงบใต้สายฝนพรำกลับท่วมท้นไปด้วยความคับข้องใจที่ไม่มีใครมองหน้ากันได้สนิท ทั้งเรื่องฉ้อฉล อื้อฉาว และฆาตกรรม

“…”เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ไม่น่ามีความหมายอะไรเลย” เขาพูด “หากใครมัวเอาใจใส่กับใบสนเท่ห์เย้ยหยันต่อไปก็จะกลายเป็นบ้าเท่านั้น”

“ใบสนเท่ห์รึ?” หญิงหม้ายถอนหายใจ

“มันเอามาติดหน้าบ้านผมเข้าให้แล้วสิ” นายคาร์ไมเคิลพูด

“เกี่ยวกับคุณรึ?”

“เรื่องของผมเลยล่ะ” นายคาร์ไมเคิลยืนยัน “มันเอามาติดเป็นแผ่นใหญ่ทีเดียวและค่อนข้างมีรายละเอียด เมื่อวันเสาร์ของสัปดาห์ก่อน ดูราวกับเป็นโปสเตอร์หนัง”

หญิงหม้ายลากเก้าอี้มาใกล้โต๊ะ “แบบนี้ช่างน่าอับอาย” เธออุทาน “ไม่น่ามีสิ่งใดก่อให้เกิดการว่าร้ายต่อครอบครัวน่านับถืออย่างของคุณ” นายคาร์ไมเคิลไม่รู้สึกตื่นเต้น

“เนื่องจากภรรยาของผมเป็นคนขาว ลูกที่เกิดมาจึงมีผิวสีแตกต่างกันไป” เขาอธิบาย “ลองนึกภาพดูสิ ทั้งสิบเอ็ดคน”

“แน่นอน” หญิงหม้ายพูด

“แต่ว่า ไอ้ข้อความเยาะหยันสนเท่ห์นั่นมันบอกว่าผมเป็นพ่อของเด็กผิวดำเท่านั้น แล้วมันก็ให้รายชื่อพ่อของเด็กคนอื่น มันยังอุตส่าห์ลากเอา ดอน เชเป มอนเตียล เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย–ขอให้เขาพักผ่อนอย่างสุขสงบด้วยเถิด”

“สามีของฉันด้วย!”

“สามีของคุณ และสามีของสุภาพสตรีอื่นอีกสี่คน” นายคาร์ไมเคิลบอก…”*

เราล้วนถูกฉาบทาด้วยรอยยิ้มและถ้อยคำประโลมใจ

เราสนใจเรื่องของผู้อื่นมากแค่ไหน

เราสนใจเรื่องที่เราทำร้ายผู้อื่นบ้างหรือไม่

เรานินทาเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ดารา พี่น้อง แม้แต่คนที่เราเรียกว่าเพื่อน เรานินทาภายใต้ความเชื่อว่าเราจะได้เข้าใจพฤติกรรมว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้

ไม่เห็นมีอะไรเสียหายนี่นา

เราล้วนป้องกันตัวเองภายใต้การกลบเกลื่อนว่านี่แค่เรื่องล้อเล่น นี่พูดกันขำๆ ความเห็นส่วนตัว ถ้าไม่จริงก็แล้วไป

เราล้วนปิดบัตรสนเท่ห์ให้ผู้คน แต่เราก็ไม่อยากให้ใครมาทำกับเรา

เราทุกคนล้วนเป็นภูเขาไฟแห่งคำโกหกตลบตะแลงตีสองหน้า รอวันปะทุและพรั่งพรูออกมายามที่เราคิดว่าไม่มีใครเห็น

ก่อนจะรีบทำให้มันมอดดับและออกไปเสาะหาเรื่องราวใหม่ๆ มาเป็นเชื้อไฟ

เราล้วนขับเคลื่อนไปด้วยความเกลียดชัง

“เมืองโสมม” (In Evil Hour) เขียนโดย Gabriel Garc?a Marquez แปลโดย ไพรัช แสนสวัสดิ์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์สามัญชน, มีนาคม 2559

*ข้อความจากในหนังสือ