ประมวลสถานการณ์ เพ็ญเดือน 6 “หมอง” “มส.” สะท้าน – “พุทธะอิสระ” สะเทือน และที่มาแห่งคำว่า “sorry!”

วิสาขบูชาปี 2561 ยังคงดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่

ประเทศไทยโดยนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเวียนเทียน พร้อมด้วยคณะทูตานุทูต 9 ประเทศ ที่นับถือพระพุทธศาสนามาร่วมกิจกรรม

ประกอบด้วย ประเทศกัมพูชา ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม ศรีลังกา ภูฏาน มองโกเลีย ลาว และสหภาพเมียนมา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

และส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางความยิ่งใหญ่แห่งงานบุญดังกล่าว

เพ็ญเดือน 6 กลับดูหม่นหมอง

หลังวงการพุทธของไทยก็ประสบภาวะอื้อฉาวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์

เมื่อ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. นำกำลังตำรวจกองปราบปราม บุกเข้าตรวจค้น 3 วัดดังในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ฐานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัด

ประกอบด้วย

1) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

2) วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร

และ 3) วัดสามพระยาวรวิหาร

ผลการปฏิบัติงาน

จุดที่หนึ่ง วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร มุ่งเข้าจับกุมพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาส กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 10 แต่ไม่พบตัว

พบเพียงพระศรีคุณาภรณ์ และพระครูสิริวิหารการ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส จึงได้จับกุมตัวฐานร่วมกันกระทำความผิดคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

สำหรับพระวัดสระเกศฯ มีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ถูกออกหมายจับเพื่อดำเนินคดีทั้งหมด 4 รูป คือ พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาส พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระครูสิริวิหารการ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาส

จับได้ 3 รูปคือ พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระครูสิริวิหารการ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส

นอกจากนี้ จับกุมฆราวาสอีก 4 ราย น.ส.นุชรา สิทธินอก หญิงแม่บ้านที่รับเงินโอนจากวัด น.ส.ฑัมพร นิพนธ์พิทยา มารดาของ ร.ท.ฐิติทัศน์ นิพนธ์วิทยา นายธีระพงษ์ พันธ์ศรี และนายทวิช สังข์อยู่ ลูกศิษย์วัดและผู้มีอำนาจเซ็นชื่อเบิกจ่ายเงินในบัญชีของวัด ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับบริษัท ดีดีทวีคูณ ที่รับจ้างผลิตสื่อให้กับวัดสระเกศฯ

จุดที่สอง วัดสามพระยาฯ เป้าหมายเพื่อจับกุมพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาฯ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร

และพระอรรถกิจโสภณ เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพฯ

ผลปฏิบัติการสามารถจับพระพรหมดิลก ขณะกำลังจำวัดอยู่ภายในกุฏิ

จุดที่สามคือวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร

เป้าหมายเพื่อจับกุมพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามฯ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 4-5-6-7 ธรรมยุต

ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน แต่ไม่พบตัว

สรุป สามารถจับกุมตัวพระสงฆ์ได้ 5 รูป คือ

1) พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ

2) พระครูสิริวิหารการ

3) พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ

4) พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาฯ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร

และ 5) พระอรรถกิจโสภณ เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยาฯ

ทั้งนี้ หลังปฏิบัติการดังกล่าว พระพรหมมุนี กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้เปิดเผยว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระบัญชาให้กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) พ้นจากตำแหน่ง จำนวน 3 รูป ประกอบด้วย

1) พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยาฯ เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร

2) พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามฯ

3) พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ประมวลผลเสนอมา

ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวเป็นการให้พ้นตำแหน่งไปก่อน หากทั้ง 3 รูปสามารถพิสูจน์ตนเองได้ตามกระบวนการทางกฎหมายและไม่มีความผิด ก็สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีกครั้ง

หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำ

1) พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ

2) พระครูสิริวิหารการ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ

3) พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ

4) พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยาฯ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร

5) พระอรรถกิจโสภณ เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร วัดสามพระยาฯ

พร้อมฆราวาสอีก 4 คนที่ถูกกล่าวหาร่วมกระทำผิดด้วย คือ

1) น.ส.ฑัมพร นิพนธ์พิทยา มารดาของ ร.ท.ฐิติทัศน์

2) น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่บ้านร่วมรับโอนเงิน 25 ล้านบาท

3) นายธีระพงษ์ พันธ์ศรี

4) นายทวิช สังข์อยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัท ดีดีทวีคูณ ที่รับผลิตสื่อให้กับวัดสระเกศฯ

ไปยื่นฝากขังต่อศาลอาญา

ศาลพิจารณาแล้วไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 9 ราย

โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์การกระทำความผิดมีผลกระทบต่อพุทธศาสนาและมีลักษณะเป็นขบวนการ โดยมีการแบ่งหน้าที่ยักย้ายเงินที่ได้มาผ่านทางธนาคาร จึงต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ในความครอบครองของผู้ต้องหากับพวก หากให้ปล่อยชั่วคราวแล้วเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้าน

จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงให้ยกคำร้อง

ผลจากคำสั่งของศาลดังกล่าวทำให้พระที่ถูกจับต้องสึกก่อนที่จะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ

ล่าสุด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ด้วยปรากฏว่ามีกรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาว่ากระทําการทุจริตและถูกดําเนินคดีอาญาในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ถอดถอนสมณศักดิ์ จํานวน 7 รูป ดังนี้

1. พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

2. พระพรหมเมธี (จํานงค์ เอี่ยมอินทรา) วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร

3. พระพรหมดิลก (เอื้อน กลิ่นสาลี) วัดสามพระยาวรวิหาร

4. พระราชอุปเสณาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือพระเมธีสุทธิกร) (สังคม สังฆะพัฒน์) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

5. พระราชกิจจาภรณ์ (สมณศักดิ์เดิมคือ พระวิจิตรธรรมาภรณ์) (เทอด วงศ์ชะอุ่ม) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

6. พระอรรถกิจโสภณ (สมทรง อรรถกฤษณ์) วัดสามพระยาวรวิหาร

7. พระศรีคุณาภรณ์ (บุญทวี คํามา) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม เป็นต้นไป ยกเว้นลําดับที่ 3, 5, 6 และ 7 ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่ถูกจับกุมและสละสมณเพศ

ด้านพระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้ตัดสินใจเข้ามอบตัวแล้วเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม

นอกจากนี้ ปฏิบัติการสะเทือนมหาเถรสมาคมข้างต้นแล้ว

ในวันที่ 24 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกสายหนึ่ง

นำโดย พล.ต.ต.อภิชาติ สิริสิทธิ์ รอง ผบช.ก. พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ กก.5 บก.ป. พ.ต.อ.เด่นหล้า รัตนกิจ ผกก.ปพ.บก.ป. และคอมมานโด อาวุธครบมือ

นำหมายจับศาลอาญา เข้าจับกุมพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพุทธะอิสระ ที่วัดอ้อน้อย อ.เมือง จ.นครปฐม ด้วย

ในข้อหาสนับสนุนให้มีการปล้นทรัพย์ จากกรณีเมื่อครั้งการชุมนุมของ กปปส. เมื่อปี 2557 ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่นำโดยพระสุวิทย์ ที่เวทีแจ้งวัฒนะ ปล้นทรัพย์เป็นอาวุธปืนของตำรวจสันติบาลไป

นอกจากนี้ ยังถูกกล่าวหาว่าปลอมพระปรมาภิไธย

โดยระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2560 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่นำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่อง โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9

พระเครื่องดังกล่าวสร้างขึ้นเมื่อช่วงเข้าพรรษาปี 2554 บรรจุปรอทเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2554 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สร้างพระสำเร็จ

ผู้กล่าวหาเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี

ซึ่งตำรวจได้สืบสวนและตั้งข้อหาในเบื้องต้นว่าฐานปลอมขึ้นซึ่งพระปรมาภิไธย และใช้พระปรมาภิไธยที่มีการปลอมขึ้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 250, 252

และนำกำลังบุกไปจับดังกล่าว

ผลปฏิบัติการสามารถจับกุมพระพุทธะอิสระได้สำเร็จ

ถือเป็นปฏิบัติการ “ลับสุดยอด”

เจ้าตัวเองไม่ระแคะระคายมาก่อน

เพราะก่อนหน้านั้น 1 วัน คือวันที่ 23 พฤษภาคม พุทธะอิสระได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กแสดงความเห็นใจรัฐบาลและ คสช. ถูกกล่าวหาปล่อยให้ปัญหาการทุจริตลุกลาม

ทั้งที่การทุจริตส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากข้าราชการระดับปฏิบัติและข้าราชการระดับสั่งการ ไม่มีบุคคลระดับรัฐมนตรีเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

พร้อมทั้งเรียกร้องประชาชนคนไทยทุกคน ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เป็นปากเป็นเสียงให้รัฐบาลและ คสช.

แสดงให้เห็นถึงการเป็น “พรรคพวกเดียวกัน”

พุทธะอิสระเอง แทบจะนึกไม่ออกว่า รัฐบาลและ คสช. จะมีเหตุผลใดที่จะมาจัดการ “คนกันเอง” เช่นตน

แต่กระนั้น พุทธะอิสระอาจลืมไปประเด็นหนึ่งว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นปฏิบัติการลับสุดยอดของ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป.

การรับรู้อยู่ในวงจำกัด

จึงเป็นเรื่องช็อกที่พุทธะอิสระถูกจับ และยิ่งเมื่อถูกนำตัวไปฝากขังต่อศาล

ปรากฏว่าศาลไม่ยอมให้ประกันตัว พุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ทองประเสริฐ ต้องถูกสึกให้เป็นนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ

และยิ่งเมื่อเกิดเรื่องช็อกซ้อนช็อก ปรากฏคลิปการจับกุมพุทธะอิสระออกมาเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดีย

คลิปดังกล่าว ก่อกระแสใน 2 ทางทันที สำหรับผู้ที่ไม่ชอบพุทธะอิสระ มองว่าตำรวจปฏิบัติหน้าที่เด็ดขาด

ขณะที่ฝ่ายที่ชอบ กลับมองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ การใช้คอมมานโดบุกพังประตูและขู่ตะคอกพุทธะอิสระเป็นสิ่งที่รับไม่ได้

และนี่กลายเป็นประเด็นขึ้นมาอีก “ปม” หนึ่ง

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา 3 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ออกมาประสานเสียง “ขอโทษ” กับการปฏิบัติของตำรวจต่อพุทธะอิสระ

คำขอโทษ ได้กลายเป็นปมการเมืองซ้อนปมการศาสนาขึ้นมาทันที

และนำไปสู่การจับตาโดยใกล้ชิดว่า ทำไมต้อง

“ขอโทษ”