คำ ผกา : เราเก่ง

คำ ผกา

ในการแถลงข่าวที่ไอโอวา ปี 2015 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ เขาไล่พิธีกรรายการ Univision จอร์จ รามอส ออกจากห้องแถลงข่าว เพราะไม่พอใจที่เขาปฏิเสธที่จะนั่งและรอให้เรียกชื่อ

จากนั้นก็ให้ รปภ. หิ้วตัวรามอสออกไปนอกห้อง

และที่พีกคือ ผู้สนับสนุนทรัทป์คนหนึ่งตามรามอสออกมาข้างนอกแล้วตะโกนใส่หน้าว่า “ไสหัวออกไปจากประเทศของฉันเลย”

รามอสก็งงๆ ตอบกลับไปว่า “ผมก็ถือสัญชาติอเมริกันนะ” – เรื่องนี้เป็นข่าวครึกโครมที่ยิ่งทำให้ภาพพจน์ของทรัมป์ดูตลกโปกฮามากขึ้นไปอีก

และตอกย้ำความเป็น “ขวาคลั่งๆ” ของผู้สนับสนุนทรัมป์

ในขณะที่เราไม่รู้หรอกว่า จริงๆ แล้ว ทรัมป์ “ขวา” อย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่เขารู้ว่า เขาจะได้คะแนนเสียงจาก “ขวาเพี้ยนๆ” แบบนี้

เขาจึงยิ่งแสดงพฤติกรรมที่ทำให้ผู้สนับสนุนเขาได้ใจและพอใจ

หนึ่งในพฤติกรรมที่ทรัมป์แสดงออกมาอยู่เนืองๆ คือ บอกว่าจะไล่เม็กซิกันกลับบ้านให้หมดบ้าง จะไล่มุสลิมออกจากอเมริกาให้หมดบ้าง และคนก็จะเฮกันด้วยความสะใจ

ทั้งๆ ที่รู้ว่า การ “ไล่” นี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว อเมริกาเป็น mix race คือ เป็นเชื้อชาติผสมไปเกินครึ่งของจำนวนประชากร

และจากการสำรวจของ พิว รีเสิร์ช ก็มีตัวเลขออกมาชัดเจนว่าในอนาคตอันใกล้ คนผิวขาวจะกลายเป็นประชากรส่วนน้อย และคนเลือดผสมมากกว่าสามเชื้อชาติจะมีมากขึ้น

เรียกได้ว่า อเมริกามาไกลเกินกว่าจะเที่ยวไปไล่คนนั้นคนนี้ออกนอกประเทศและให้เหลือแต่คนขาว ผมเหลืองๆ แบบทรัมป์

พฤติกรรมนี้จึงเป็นสิ่ง “แปลก” สำหรับ “สังคมกระแสหลัก” ของอเมริกา และเป็นเรื่อง “น่าหัวร่อ” เป็นเรื่อง “ความภูธร” ที่น่าชิงชังรังเกียจ

(ในทางกลับกันในบรรทัดฐานนี้คนก็แซะพวกชนชั้นกลางมีการศึกษาที่รังเกียจทรัมป์และผู้สนับสนุนของทรัมป์ว่าเป็นพวกดัดจริต บ้าความถูกต้องทางการเมืองของถ้อยคำ ปากหวานก้นเปรี้ยว จริงๆ แล้วลึกๆ ก็ไม่หัวก้าวหน้าอะไร แค่รังเกียจความ “บ้านบ้าน” ของทรัมป์)

แต่สำหรับประเทศไทย การไล่คนที่เราไม่ถูกใจดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญและเป็นกระแสหลัก

ฉันพยายามจะหาคำตอบว่า ทำไมคนไทยชอบไล่คนนั้นคนนี้ออกจากประเทศไทย และการไล่คนออกจากประเทศ มันมีความขัดแย้งในตัวเองอย่างไรบ้าง

ตั้งแต่อ่านหนังสือออกและพอจำความได้ ก็ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว เช่น หากมีใครสักคนไปกินดีหมีมาแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาว่าประเทศไทยแย่อย่างไร สู้ประเทศอื่นไม่ได้อย่างไร ประเทศอื่นเจริญมาอย่างไรบ้าง ก็จะมีเสียงตอบโต้มาทันทีว่า

“อ๋อ ถ้าที่อื่นมันดี มันมีความสุขจะกลับมาทำไม ก็ไปอยู่ซะเลยสิจ๊ะ ที่นี่มันไม่ดีพอ อย่ากลับมาเลย เชอะ เที่ยวไปชื่นชมบ้านอื่นเมืองอื่นก็เห็นกลับมาเมืองไทยกันทุกคน”

อีกวาทกรรมหนึ่งที่มาคู่กันคือ

“ไปอยู่มาแล้วหลายประเทศ ต่อให้เขาเจริญก้าวหน้าสะดวกสบายแค่ไหน ก็ไม่มีที่ไหนเหมือนเมืองไทย จะหาประเทศไหนที่มีของกินตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อาหารอร่อย ราคาถูก อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมีข้อห้ามให้วุ่นวาย ผลไม้ก็อร่อยมาก ผู้คนก็น่ารัก บลา บลา บลา”

แต่ในขณะที่เรามีวาทกรรม “ที่ไหนก็ไม่ดีไม่อบอุ่นเท่าบ้านเรา” กับ “ที่อื่นดีก็ไปอยู่สิ กลับมาทำไม” เราคนไทยก็มีค่านิยม เห่อ “เมืองนอก” อย่างยิ่ง

ในยุคหลังทศวรรษที่สามสิบลงมา “เมืองนอก” สำหรับคนไทยคือ อังกฤษ อเมริกา ยุโรป ถ้าคนเดินทางไปจีน ไปแอฟริกา จะไม่พูดว่าไปเมืองนอก แต่พูดว่าไปแอฟริกา แต่ถ้าไปอเมริกา อังกฤษ ยุโรป พูดว่า “ไปเมืองนอก” ถ้าใครบอกว่าลูกหลานจบเมืองนอก ก็ให้รู้ว่าจบมาจากสามแหล่งนี้ แต่ถ้าไม่ใช่จะบอกว่าจบฟิลิปปินส์ จบจากปักกิ่ง จบจากมอสโก

การได้ไป “เมืองนอก” สำหรับคนไทยถือว่า “เท่” มาก การได้ส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกก็เป็นเรื่องโก้ การได้เป็นนักเรียนนอกก็ยิ่งโก้หนักเข้าไปอีก

การสังกัดสมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษ นี่ นู่น นั่น ก็จัดว่าไฮโซ การเที่ยวเมืองนอก ใช้ของนอก ก็ต้องเอามาอวดกัน

พระเอกนิยายเกือบทุกเรื่องก็ต้องเป็นนักเรียนนอก และนวนิยายละครที่พระเอก นางเอก ไปเจอกัน ไปรักกันเมืองนอก ยิ่งเป็นยุโรปที่วิวสวยๆ ก็ยิ่งเป็นที่นิยมในหมู่คนไทย

แปลกใจเหมือนฉันไหมว่า ถ้าเราจะรักและหลงใหลในชาติไทยของเรามากขนาดนี้ ทำไมเราจึงสามารถ “เห่อเมืองนอก” ได้มากมายและยาวนานมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย

ปัจจุบัน กระแสเมืองนอกทางตะวันตกยังอยู่และได้เพิ่มกระแสบ้าญี่ปุ่นเกาหลีขึ้นมาเพิ่ม เรารักชาติมาก แต่พอตั๋วเครื่องบินเที่ยวเมืองนอกลดราคาทีไรก็เห็นแห่กันไปจองกระหน่ำ เวลาไปเที่ยว “เมืองนอก” ก็เห็นถ่ายรูปมาอวดกันรัวๆ ช็อปปิ้งรัวๆ ขนของกลับมาเมืองไทยกันไม่หวาดไม่ไหว

ถ้ารักชาติหลงชาติมากจะหิ้วไอคิตแคตชาเขียวอะไรนั่นกลับมาทำไมเยอะแยะ หรือจะไปบ้าโอนิสึกะสึเกะอะไรกันนักหนา ก็ใส่นันยาง ใส่รองเท้าดาวเทียมอะไรไป กินแต่ขนมเถ้าแก่น้อยไปดีจะตาย

ที่ตลกกว่าคือ มีคนไทยจำนวนมากอยู่ต่างประเทศ อยู่ชนิดตั้งรกรากเลย ประเทศในยุโรปหลายประเทศมีความจำเริญทางมนุษยธรรมและเสรีนิยมสูงจนไม่มีนโยบายกีดกันคนต่างชาติใดๆ ก็ทำให้มีคนไทยได้ไปแต่งงาน ทำงาน มีลูกมีเต้า มีความสุขกับความเป็นประชาธิปไตย ความมีขันติธรรมต่อความต่างทางวัฒนธรรมของประเทศที่ตนไปอาศัยอยู่

ไม่เคยได้ยินว่าประเทศทางยุโรปที่มีคนไทยไปอยู่ ไปแต่งงาน จะออกมาอ้างเอาบุญคุณอะไรจากใคร เช่น “มาอยู่สวีเดนก็สำนึกในใบบุญของคนสวีเดนบ้างว่ามาอาศัยแผ่นดินเขาอยู่”

หรือ “มาอยู่อเมริกาก็คิดบ้างว่าจะตอบแทนบุญคุณเขาอย่างไร” เพราะประเทศเหล่านี้เห็นว่าประชากรล้วนมี “ผลิตภาพ” ต่อรัฐ และความสัมพันธ์ของรัฐกับพลเมืองย่อมไม่มีมิติของบุญคุณ คนไทยหรือคนชาติใดที่ไปอยู่ ไปตั้งรกรากจึงไม่เคยเจอการทวงบุญคุณ เว้นแต่ไปเจอพวกนีโอนาซี

แต่ที่แปลกและตลกคือ คนไทยที่อยู่ในต่างประเทศเหล่านี้จำนวนไม่น้อยสามารถแสดงความรักชาติด้วยการไล่คนออกจากประเทศไทยได้

และสามารถพูดว่า “ถ้าไม่รักชาติ” ก็ออกไปอยู่ที่อื่น

แถมยังสำทับว่า “ขนาดเราอยู่ต่างประเทศเรายังรักชาติมากกว่า เรายังไปวัดไทย เรายังสอนลูกพูดภาษาไทย

ไอ้พวกอยู่เมืองไทยเสียอีก กลับไม่รักชาติเท่าเรา เห่อเมืองนอก เห่อฝรั่ง” – เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก จนอยากจะบอกว่า “แหม รักชาติมากก็ย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันเลยเถอะ”

ทีนี้สงสัยเหมือนฉันหรือยังว่า อะไรที่ทำให้คนไทยเหมือนไบโพล่าร์ คือ รักชาติมาก ภูมิใจในความเป็นไทยมาก ใครมาหยามมาเหยียดไม่ได้เลย ถือเรื่องใครมาหยามศักดิ์ศรีแห่งความเป็นไทยสูงสุด โกรธมากหากมีใครมาว่าประเทศของเรา แต่ขณะเดียวกัน คนไทยเหล่านี้ถ้ามีปัญญาก็ใช้ของนอกหัวจรดเท้า ใส่สูทอิตาลี ฉีดโบท็อกซ์ของอเมริกา ใช้น้ำหอมฝรั่งเศส กินอาหารญี่ปุ่น เราเหยียดหยามว่าประเทศอื่นไม่มีอารยธรรม ไม่มีวัฒนธรรม ไม่มีประวัติศาสตร์ แต่เรามีไลฟ์สไตล์ที่ไปยืมมาจากประเทศเหล่านั้นทั้งสิ้น

ถ้าไม่มี “เมืองนอก” หรือความรู้แบบตะวันตก เราก็ยังคิดว่าโลกแบน เราไม่ได้ฉีดวัคซีน เราไม่มีโรงพยาบาล เราไม่มีส้วม ไม่มีรถยนต์ เครื่องบิน ไม่มีมหาวิทยาลัย ฯลฯ ชีวิตของมนุษย์ในอารยธรรมสมัยใหม่ล้วนแต่เป็นมรดกของอารยธรรมยุครู้แจ้งของอารยธรรมตะวันตกทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น หากเราจะมั่นอกมั่นใจในความเป็นไทย เราพึงถอดองค์ความรู้ของตะวันตกออกไปจากอารยธรรมของเราให้หมดจด แล้วไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุคที่ก่อนมีเรือกลไฟ ดีไหม?

จากนั้นเราพึงใช้ภูมิปัญญาแบบไทยที่แสนลึกซึ้งค่อยๆ ก่อร่างสร้างอารยธรรมของเราใหม่เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า เราไม่แพ้ใครในโลก

พรุ่งนี้เราจะกลับไปอยู่กระท่อมเครื่องไม้เรือนผูก ไม่เอาไฟฟ้า เอาไอโฟนทุกเครื่องไปคืนอเมริกา ชิ ชิ บังอาจมาหยามกันนัก อะไรที่ไม่ใช่ไทยบนตัวเราค่อยๆ สำรวจแล้วปลดเปลื้องมันออกทีละชิ้น เราจะได้รอดพ้นจากการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารยธรรมป่าเถื่อน

ถอดของต่างชาติแปลกปลอมออกให้หมด คงไว้แต่ความไทยแท้ แล้วลองมาสำรวจว่าเราเหลืออะไรไว้กับตัวบ้าง หากทำได้ และอยู่ได้ เราจึงสามารถยืนหยัดศักดิ์ศรีของภูมิปัญญาไทยให้ชาวโลกได้ประจักษ์

กระแสขับไล่ทูตอเมริกาล่าสุดก็น่าสนใจเพราะตั้งอยู่บนวิธีคิดว่า ที่ว่าต่างชาติไม่ควรมาแทรกแซงกิจการภายในของเรา ซึ่งก็ไม่ผิด ถ้าเราจะยืนยันเช่นนั้น และเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ เราควรเป็นฝ่ายเริ่ม

เช่น เอารายชื่อประเทศที่เข้ามา “จุ้น” เรื่องของเรา เอาชื่อประเทศทั้งหมดนั้นมาเรียงกัน แล้วเราต้องตัดความสัมพันธ์ทุกมิติ

เหตุที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะต่างชาติอ้างว่า เหตุที่ต้องเข้ามาจุ้น เพราะไทยเป็นหนึ่งในประชาคมโลก, เพราะค้าขายกับไทย จึงกังวลว่า สินค้าที่มาจากไทยเป็นสินค้าที่มีแรงงานทาสหรืออยู่ภายใต้การบริหารประเทศที่ขัดหลักการสากลหรือไม่?

ไม่ได้ต่างอะไรจากที่เราจะไม่ซื้อของจากร้านที่เอาเปรียบลูกจ้าง ซึ่งก็เป็นสิทธิของเรา

ส่วนร้านนั้นก็มีสิทธิบอกว่า ไม่ซื้อก็ไม่ง้อ ฉันก็ขายคนอื่น มีเยอะแยะที่เขาไม่แคร์ บางประเทศก็อ้างว่าต้องจุ้น เพราะมีความร่วมมือทางการศึกษา การฝึกอบรม และความสัมพันธ์ หลายด้านหลายมิติ จะไม่ยุ่ง ไม่ถามไม่ได้ เพราะเป็นพาร์ตเนอร์กัน ฯลฯ

วิธีที่ไม่ให้เขามีสิทธิมา “จุ้น” ก็คือ เราต้องยุติการค้ากับเขา หรือมีโปรแกรมความร่วมมืออะไรก็ต้องหยุด เมื่อเขาไม่ต้องมาค้าขายหรือทำงานร่วมกับเรา หรือให้เงินช่วยเหลือเรา เขาย่อมไม่มีสิทธิ “จุ้น”

ประเทศไทยเราแข็งแกร่งอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องแคร์ประเทศช่างจุ้นเหล่านั้นเลย เราเป็นไทยไม่ใช่ทาสใคร เราต้องยืนอยู่ได้ด้วยขาของเราเอง

เริ่มจากปัจเจกบุคคลพลังมดเล็กๆ ก่อน พิสูจน์ให้โลกเห็นเถิดว่า เราอยู่ได้โดยไม่มีภูมิปัญญาของพวกคุณ

เพราะฉะนั้น ฉันก็จะจบคอลัมน์นี้ในอีกไม่กี่ประโยคข้างหน้า เพราะจะถอดสายเน็ต ปิดคอมพ์ เอาคอมพ์ไปทิ้ง เลิกใช้เทคโนโลยีทั้งหมดเลยเพราะมันเป็นผลงานของพวกฝรั่งจอมจุ้น ทนเอาแป๊บเดียว เดี๋ยวคนไทยก็ผลิตของพวกนี้ที่เป็นเทคโนโลยีของตัวเองได้

คนไทยเราเก่งไม่แพ้ใครในโลกเลย

คนไทยเราเก๊งเก่ง จะกลัวอะไร