ต่างประเทศ : ปรากฏการณ์ “สไปเดอร์แมน” แห่งปารีส

คืนวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้คนที่เดินผ่านแฟลตแห่งหนึ่งในกรุงปารีส ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นภาพเด็กในวัย 4 ขวบใช้เพียงสองมือเกาะห้อยลงมาจากระเบียงสูงขึ้นไปถึง 4 ชั้น

คนเดินถนนที่เห็นเหตุการณ์ต่างส่งเสียงตะโกน คนขับรถผ่านไปมาต่างหยุดรถและพยายามกดแตรสนั่นหวั่นไหว ด้วยหวังว่าผู้ปกครองของเด็กที่อยู่ในห้องจะได้ยินเสียงเตือนจากความตายที่เตรียมจะพรากลูกไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

ในวินาทีนั้นชายผิวสีรายหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ วิ่งข้ามถนน ก่อนตัดสินใจปีนระเบียง จากชั้นสู่ชั้น ด้วยความรวดเร็ว แข็งแกร่ง จากชั้นหนึ่งถึงชั้น 4 ด้วยเวลาไม่ถึง 30 วินาที และช่วยหนูน้อยผู้โชคร้ายเอาไว้ได้หวุดหวิด

คลิปวิดีโอซึ่งถูกถ่ายไว้ด้วยสมาร์ตโฟนของผู้เห็นเหตุการณ์ ถูกโพสต์สู่โลกออนไลน์ และมีผู้คลิกชมจำนวนนับล้านครั้ง พร้อมด้วยเสียงยกย่องตามมาด้วยฉายาซูเปอร์ฮีโร่ให้กับหนุ่มรายนี้ว่า “สไปเดอร์แมน” แห่งปารีส

สื่อฝรั่งเศสตามรอยชายรายดังกล่าว พบว่าคือ “นายมาโมอูโดอู กาสซามา” ผู้ลี้ภัยชาวมาลี วัย 22 ปี ที่ระบุว่าตนทำไปโดยที่ไม่ได้คิดหวังสิ่งใด

“ผมเห็นพวกเขาต่างตะโกน รถยนต์บีบแตร ผมปีนขึ้นไปแบบนั้น และขอบคุณพระเจ้า ผมช่วยเด็กไว้ได้” กาสซามาระบุ

และว่า “ผมเริ่มรู้สึกกลัวหลังจากที่ช่วยเด็กไว้ได้แล้ว เราเข้าไปในห้องนั่งเล่น ผมยืนแทบไม่ได้จนต้องนั่งลง”

 

ฟรองซัวส์ โมแลงส์ อัยการฝรั่งเศส ระบุว่า เด็กชายวัย 4 ขวบขณะนี้อยู่ในการดูแลของอีกครอบครัวหนึ่ง และอาจจะต้องถูกส่งตัวไปอาศัยกับแม่ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในปารีสขณะเกิดเหตุ ที่เกาะรีอูนิยง ในเร็วๆ นี้ โดยโมแลงส์เล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า พ่อของเด็กที่เป็นผู้ดูแลลูกชายขณะเกิดเหตุเข้าให้ปากคำกับตำรวจ และยอมรับว่า ตนออกไปซื้อของโดยทิ้งลูกเอาไว้ในห้อง และก่อนกลับตนต้องเสียเวลาไปกับการเล่น “เกมโปเกม่อนโก”

ขณะที่ในห้องนั้น หน้าต่างถูกเปิดเอาไว้ และระเบียงไม่ได้มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยป้องกันเด็กปีนระเบียงติดตั้งเอาไว้

“พ่อเด็กรู้สึกเสียใจมากเพราะเขารู้ถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป” โมแลงส์ระบุ และว่า เขาจะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลในเดือนกันยายนนี้ โดยอาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกถึง 2 ปีในข้อหาปล่อยปละละเลยลูกตามกฎหมายฝรั่งเศส

ด้วยวีรกรรมอันน่ายกย่อง กาสซามาผู้ลี้ภัยชาวมาลีได้รับโอกาสเข้าพบ “เอ็มมานูเอล มาครง” ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ที่พระราชวังเอลีเซ ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศส กรุงปารีส เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา

มาครงมอบเหรียญกล้าหาญ ข้อเสนอตำแหน่งงาน และเสนอมอบ “สัญชาติฝรั่งเศส” ในฐานะที่เป็นแบบอย่างให้กับประชาชนทั้งประเทศ

 

ผู้ลี้ภัยวัย 22 ปีเล่าถึงประสบการณ์เลวร้ายในการอพยพผ่านทะเลทรายซาฮารา การเผชิญกับแก๊งอาชญากรรมลิเบีย การข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันยากลำบาก แน่นอนว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นผู้อพยพหลั่งไหลสู่ยุโรป กลุ่มคนที่ต้องเสียชีวิตลงปีละหลายพันคน

“ชีวิตผมไม่มีความหมายและไม่มีใครช่วยผมได้” กาสซามาเล่า และว่า ตนตัดสินใจทิ้งบ้านเกิดเพื่อเดินทางมาหาพี่ชายที่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศส ผ่านทางบูร์กินาฟาโซ ไนเจอร์ ก่อนเข้าสู่ตอนเหนือของประเทศลิเบีย ประเทศต้นทางหลักที่ส่งกลุ่มผู้ลี้ภัยเข้าสู่ยุโรปผ่านทางอิตาลี

กาสซามาทำงานในลิเบียเป็นเวลา 1 ปี ใช้ชีวิตยากลำบากอันตราย ต้องเผชิญกับกลุ่มแก๊งที่หากินด้วยการจับผู้ลี้ภัยเป็นตัวประกัน หรือบางครั้งนำตัวไปเป็นทาส

กาสซามาเล่าว่า ตนถูกจับและทำร้ายร่างกายแต่ตนก็ไม่หมดหวัง จนกระทั่งปีต่อมาตนได้ลงเรือผู้อพยพอันแออัดและรอดชีวิตถึงยุโรป ก่อนเดินทางเข้าฝรั่งเศสและอาศัยในเมืองมองเทริล ชานกรุงปารีส เมืองที่มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “ลิตเติลบามาโก” เนื่องจากประชากรชาวมาลีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐสภาฝรั่งเศสกำลังอภิปรายเกี่ยวกับร่างกฎหมายผู้อพยพ ที่เร่งการส่งตัวผู้อพยพทางเศรษฐกิจที่หลีกหนีจากความยากจน และผู้ไม่สามารถขอลี้ภัยได้ตามเงื่อนไขกลับประเทศ ขณะที่กลุ่มช่วยเหลือผู้ลี้ภัยระบุว่าประธานาธิบดีฝรั่งเศสกำลังใช้ปรากฏการณ์ “สไปเดอร์แมน” เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่ออำพรางนโยบายที่จะสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้อพยพ

ในส่วนของกาสซามาเองนั้นก็เป็นเพียงผู้อพยพทางเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นผู้ลี้ภัยสงคราม จึงเสี่ยงที่จะถูกส่งตัวกลับประเทศตามนโยบายดังกล่าวด้วย

ทว่าเหตุการณ์ที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสระบุว่าเป็น “วีรกรรมเยี่ยงวีรบุรุษสุดพิเศษ” สมควรได้รับ “การพิจารณาที่เป็นข้อยกเว้น” นั้นกำลังจะเปลี่ยนชีวิตผู้ลี้ภัยวัย 22 ปีผู้นี้ไปตลอดกาล

ส่วนชะตากรรมของผู้อพยพนับพันคนที่กำลังจะต้องถูกส่งตัวกลับก็ยังคงถูกกำกับไว้ด้วยเครื่องหมายคำถามต่อไป