กาละแมร์ พัชรศรี : ข้ออ้างในชีวิต

คนเรามักมี “ข้ออ้าง” ให้กับตัวเองมากมายเพื่อที่จะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต

เพราะเมื่อ “อ้าง” แล้วมันจะได้ไม่เจ็บปวด และเป็นการผลักความรับผิดชอบออกจากตัวเองได้อย่างชอบธรรม

ที่ฉันไม่รวยอย่างคนอื่นเขา เพราะฉันเกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหา เกิดมาในครอบครัวยากจน มีหนี้มีสิน พ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อแม่หย่ากัน พี่น้องมีปัญหา

ลองถอยออกมาแล้วมองไปที่คนคนนี้ทำ กำลังพูดถ้อยคำเหล่านี้ดูสิ

มันเต็มไปด้วย “ข้ออ้าง” หรือการโทษคนอื่น โทษสิ่งแวดล้อม โทษชาติกำเนิดเพราะดูเหมือนว่าตัวเองเลือกไม่ได้ (ซึ่งในความเป็นจริง นี่อาจเป็นสิ่งที่คุณเลือกทำมาตั้งแต่ชาติปางก่อน คุณทำอะไรมา คุณก็ได้สิ่งนั้น)

แล้วเวลาที่ทำอะไรไม่สำเร็จ ชีวิตไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็ยกข้ออ้างเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะกำบัง ไม่ให้ใครมาตราหน้า ตัดสิน หรือให้คะแนน แต่ที่สำคัญมันเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากความรู้สึกผิด อ่อนแอเป็นอย่างดี

แท้จริงแล้วเรา “ขี้เกียจ” เรา “ไม่กล้า” ที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรดีๆ ให้กับตัวเองหรือเปล่า

 

เพราะการนอนแน่นิ่ง นั่งเล่นชิลๆ ปล่อยตัวลอยไปตามลม หรือให้โชคชะตาเป็นคนกำหนดว่าเราต้องมีชีวิตอย่างไร ไปทางไหน มันสบายดี ไม่ต้องคิด ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรที่ไม่เคยทำ ทำตามสบายๆ อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ทำสิ่งเดิมๆ ทำเรื่องซ้ำๆ บ่นเบื่อ แต่ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ให้กับตัวเอง

เมื่อไม่อยากเจ็บปวดก็หา “ข้ออ้าง” มารองรับความชอบธรรมให้ตัวเองที่ไม่ต้องลุกขึ้นไปทำอะไรให้มันดีขึ้น

อยากหุ่นดี แต่แดรกทุกอย่างที่ขวางหน้า พอสะกิดเตือนก็บอกว่า “นี่คือความสุขของชีวิต เราทำงานมาเหนื่อยเราต้องกินๆๆ”

แต่พอมาเห็นสภาพตัวเองก็รับไม่ได้ ไหนจะไปตรวจร่างกายแล้วเจอโรค ไขมันเริ่มมาพอกตับ ยังไม่สำนึกสำเหนียก

พอบอกให้ออกกำลังกายก็บอกต้องทำงานดึก ตื่นเช้าไม่ไหว ไม่มีเวลา มันหนื่อยแล้ว จะให้มาออกกำลังกายอีกก็ไม่ไหว เราไม่อยากมีซิกซ์แพ็ก เราไม่ได้อยากเป็นนักกีฬา เราไม่ได้เป็นดารา เราไม่ต้องหุ่นดีก็ได้

มันคือ “ข้ออ้าง” ไหมคุณว่า

 

ใครคนไหนไม่อยากหุ่นดีบ้างถามหน่อย แต่พอมันทำยาก มันต้องใช้ความตั้งใจ ความอดทน ความเพียรพยายาม ต้องใช้ความยับยั้งชั่งใจ อาศัยเวลา ทำให้บ่อย ทำให้จริง

พอทำแล้วมันเหนื่อยก็ท้อ ก็ขี้เกียจ ก็เลิก แล้วก็บอกใครๆ ว่า ทำแล้วนะ ไม่เห็นมันจะผอมเลย เทรนเนอร์ไม่เก่ง อุปกรณ์ไม่ได้ บ้านอยู่ไกล รถแมร่งติด งานก็เยอะ แต่ไม่เคยบอกเลยว่า “กรูขี้เกียจ”

เจอน้องอยู่คนหนึ่งไปทำงานบริษัททนายได้ 1 เดือน บอกไม่อยากไปทำงานแล้ว เบื่อ ถามว่าทำไมเบื่อ ต้องเข้าทำงาน 8 โมงเลิก 5 โมง งานมันเครียด

อ้าว แล้วไปสมัครทำไม นางบอกเป็นบริษัทใหญ่ มีชื่อเสียง ได้ทำคดีใหญ่ๆ ทั้งนั้น

อ้าว แล้วยังไง มรึงจะเอาอะไร มรึงเรียนทนายเอง ก็ต้องรู้อยู่แล้วไหมว่างานทนายเป็นอย่างไร มันบอกตอนเรียนกับทำงานไม่เหมือนกัน ไม่คิดว่ามันเครียดขนาดนี้

อ้าว อิดรอก! (อ้าว ขอโทษค่ะ)

แล้วเรียนทำไมแต่แรก มันบอกตอนแรกไม่รู้จะเรียนอะไรดี

อ้าว อิห่าน! (ตัวเองยังไม่รู้ แล้วใครจะรู้แทนมรึงถามจริง)

เลยถามมันว่า แล้วอยากทำงานอะไรล่ะ มันบอกทำงานอะไรก็ได้ที่ไม่เครียด แล้วมันชี้ไปที่รุ่นพี่คนหนึ่งทำงานเกี่ยวกับเขียนหนังสือท่องเที่ยว “เนี่ย อยากทำแบบพี่คนนี้ ได้เที่ยวด้วย”

โถๆๆๆๆๆๆๆๆ อิเปรตตตตต (อ่ะ ขอโทษอีกครั้งค่ะ)

งานอะไรที่ไม่เครียด มรึงนอนให้พ่อแม่เลี้ยงเถอะค่ะ (ซึ่งบอกเลยว่าพ่อแม่มรึงเครียดแน่) เห็นเขาทำงานเกี่ยวกับไปเที่ยวอยากทำบ้างเพราะชอบเที่ยว

เดี๋ยวๆ ใครๆ ก็ชอบเที่ยวไหม แต่เที่ยวกับไปทำงานมันคนละอย่างป่ะ อินี่มันยังไม่รู้

ก็เลยบอกมันว่า เสาร์อาทิตย์ที่ไม่ต้องไปทำงานทนาย มรึงไปเที่ยวเลย แล้วทำงานให้ได้เงินให้ได้ จะอะไรก็แล้วแต่ มันทำหน้าแบบ…จะดีเหรอกรูจะไม่ได้หยุดเลยเหรอ จะเหนี่อยป่ะ

แล้วพอถามว่าจริงๆ แล้วคือแกไม่ชอบหรือแกไม่อดทน ไม่พยายามเนี่ย มันบอกก็พยายามนะ แต่มันไม่ชอบ ก็ว่าจะทนๆ ไปสัก 2-3 ปี

 

ห้ะ!!!!!!!!! ทีงี้มรึงกล้าทน

สามารถทนอยู่ในงานที่ไม่ชอบ ไม่อยากไปทำ ชอบวันศุกร์ เกลียดวันจันทร์ แต่จะอยู่อย่างนี้อีก 2-3 ปี มรึงได้กลายเป็นผักต้มแน่

แค่ยืนหยัดและชัดเจนกับตัวเองว่า ชอบอะไร อยากทำอะไร อยากเป็นอันไร อยากมีชีวิตแบบไหน เอาจริงนะ เดี๋ยวก็ตายๆ กันละ ทำไมเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ชอบกันเนี่ย

ทำไปเหอะ อะไรที่มันยาก มันไม่เคย มันไม่สบาย ไม่คุ้น ลองทวนมันขึ้นไป ฝ่ามันขึ้นไป ไม่มีใครตายเพราะทำงานหนักหรือทำสิ่งดีๆ ให้ชีวิตหรอกนะ

“ข้ออ้าง” เดียวที่จะยกขึ้นมาได้ก็คือ…

“อ้อ เผอิญว่าตายก่อนนะค่ะ เลยไม่ได้ทำ เสียดายจุงเบย”

รู้เรื่องนะ…