วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ /สู่ร่มกาสาวพัสตร์ ท่ามกลางความคิดคำนึง

วางบิล / เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์    

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

ท่ามกลางความคิดคำนึง

 

พระปานมองขึ้นไปตรงดวงจันทร์ที่หมู่เมฆบางเบาลอยผ่านเป็นระยะ คิดถึงวันคืนที่ล่วงไป แล้วครุ่นคำนึงถึงข้อธรรมจากหนังสือนวโกวาทบางข้อที่บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบทั้งนั้น เรามีกรรมเป็นของตัว เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่

นั่นซิ วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ แล้วแหงนมองดวงจันทร์กระจ่างฟ้าเต็มตา อีกเพียง 4 คืน จันทร์จะเต็มดวงสว่าง บรรยากาศอย่างนี้ หากมิได้อยู่ในเพศบรรพชิต จะมีอะไรดีกว่าอยู่สองต่อสองกับคนรัก

พระปานคิดแล้วยิ้มให้กับตัวเองคิดถึงตัวเองที่ยังมีอารมณ์หวานรัก ทั้งที่รู้อยู่ว่าสิ่งนี้เป็นอันตรายต่อเพศพรหมจรรย์ แต่จะทำอย่างไรได้ ความเป็นปุถุชนของพระปานยังมีครบถ้วน ไม่ขาดหายไปไหน เพราะความเป็นปุถุชนไม่ใช่ดอกหรือที่ทำให้ต้องเข้าหาความสงบทางใจเช่นนี้

คิดแล้วได้แต่ถอนใจยาว

 

สักครู่จากนั้น พระปานกลับเข้าห้อง แม้ยังไม่ง่วง แต่ตั้งใจว่าจะไหว้พระสวดมนต์ให้ยาวนานกว่าที่เคยปฏิบัติ ทั้งจะนั่งสมาธิอธิษฐานจิตไปจนกว่าเวลาจะล่วงเข้าสู่วันใหม่ – วันปีใหม่ วันที่ทุกคนคิดว่าเป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

แต่ละคนพยายามคิดหวังว่า วันปีใหม่นี้แหละ ที่เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มสั่งสมความดีงาม จะทิ้งการกระทำที่เห็นว่าเป็นความชั่ว ความไม่ดีไปเสีย

แต่แล้ว เมื่อวันปีใหม่ผ่านไปได้เพียงไม่กี่มากน้อย สันดานความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนกลับมาเหมือนเดิม สภาพแวดล้อมที่เคยเป็นอย่างไรยังคงเป็นอย่างนั้น สภาพความเป็นอยู่เคยเป็นอย่างไรไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บางครั้งอาจจะเลวร้ายลงไปเสียอีก

แต่กับบางคนที่หมั่นสร้างสมความดีงามมาตลอด กุศลเหล่านั้นอาจเป็นผลตอบแทนในปีใหม่นี้ หรือแม้ยังไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ไม่เลวไปกว่าเดิม

ชีวิตของคนเรานั้น พยายามจะกลับไปที่จุดเริ่มต้น ทั้งที่ชีวิตเริ่มมาแล้ว ถ้าจะว่าตามความเป็นไปชีวิตคนเราเริ่มต้นตั้งแต่หลุดพ้นจากปากมดลูกแม่ เติบโตไปตามสภาพแวดล้อม ตามบุญทำกรรมแต่ง ตามเหตุตามผล ท่ามกลางความเป็นไป ทั้งของตัวเองและจากผู้อื่น ผลกรรม หรือการกระทำที่ผูกพันแต่หนก่อน บางทีเพิ่งเริ่มปรากฏขึ้น แต่บางสิ่งบางอย่างเพิ่งเริ่มกระทำในปัจจุบัน

ช่วงเวลาหนึ่งที่ผ่านมา พระปานเคยสงสัยว่าอะไรคือความจริงของชีวิต ทำไมชีวิตต้องดิ้นรนต่อสู้ไม่มีที่สิ้นสุด คนรวยพยายามดิ้นรนเพื่อให้รวยยิ่งขึ้นไป คนจนต่างกระเสือกกระสนด้วยการกระทำทุกอย่างแม้แต่การเสี่ยงโชค แต่ยิ่งกลับจนลงเหมือนโดนแกล้ง ใครทุกข์ร้อนข้องใจกลับยิ่งเหมือนมีไฟแห่งความทุกข์โหมกระหน่ำซ้ำเติม ไอ้ใครที่ร่ำรวยกลับยิ่งกอบโกยร่ำรวยมหาศาลยิ่งขึ้นไป

ในที่สุด ความสิ้นสุดของชีวิตมาเยือน ชีวิตต่างสูญสิ้นไป ต่างกับการเริ่มต้นของชีวิตคือความดีงามที่ต่างคนต่างสะสมกันเอง สิ่งที่เหลือเบื้องหลังยังคงเหลืออยู่อย่างนั้น ไม่สามารถหยิบฉวยไปได้แม้แต่ขี้เล็บเดียว

แล้วชีวิตใหม่เริ่มต้นใหม่ เวียนว่ายไม่มีที่สิ้นสุด เป็นไปอย่างนี้ เป็นวงรอบอย่างนี้

 

แสงเทียนวาววาบขึ้นเป็นพักๆ ตามแรงลมที่ผ่านพลิ้วเข้ามา พระปานพยายามจดจ่อจิตกับลมหายใจเข้าออก สรรพเสียงจากภายนอกผ่านเข้ามาแล้วผ่านเลยไป ไม่มีสิ่งใดตกค้างในความรู้สึก ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่คิดว่าสิ่งนั้นคือความสนุกสนาน เป็นความสุข หรือเป็นความทุกข์

ในความรู้สึกนั้น คล้ายกับว่าร่างกายพองใหญ่ขึ้นไม่สิ้นสุด แต่อีกประเดี๋ยวหนึ่ง เหมือนมีร่างซ้อนเข้ามาในร่างที่พองโตนั้น เป็นร่างที่หดตัวเล็กลงเรื่อย แล้วคล้ายกับร่างนั้นเบาโหวงราวปุยนุ่นล่องลอยไปในอากาศ

พระปานไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว แม้จะทำสมาธิเสมอมา จำได้ว่าครั้งเป็นเด็ก เมื่อได้อ่านวิธีปฏิบัติกรรมฐานของท่านพุทธทาสภิกขุ เคยมีเพียงครั้งหรือสองครั้งที่รู้สึกตัวเบาลอยจากท่านอน คล้ายกับว่าร่างกายที่นอนนั้นลอยขึ้นเบื้องบนแล้วหยุดนิ่ง สักพักใหญ่จึงกลับมาสู่สภาพเดิม พระปานรู้สึกสบาย ว่างใจในขณะนั้น เหมือนกับไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่ติดตามความรู้สึกนั้นเท่านั้น

ทั้งเมื่อเกิดเสียงดังจากภายนอก แม้ดังไม่มากนัก แต่ในความรู้สึกนั้น เหมือนกับเกิดเสียงไม่ห่างไกลจากที่นั่งสักเท่าไรนัก รู้สึกว่าเป็นเสียงที่ดังกว่าปกติ

แล้วความรู้สึกเบาลอยเหมือนปุยนุ่นนั้นกลับมาเป็นเช่นเดิม มีความรู้สึกเหมือนที่นั่งอย่างเมื่อแรกเริ่ม

คงใกล้เที่ยงคืนเข้ามาทุกขณะ พระปานกะจากความรู้สึกของตัวเอง

เสียงโทรทัศน์แว่วจากห้องพระครูพรหมว่าอีกห้านาทีจะขึ้นวันขึ้นปีใหม่

พระปานยังนั่งท่าเดิม

จนเสียงเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลาเที่ยงคืน เสียงเด็กวัดย่ำกลอง เสียงไชโยโห่ร้องจากผู้คนแว่วเข้ามา

เสียงโฆษกดังจากโทรทัศน์ประกาศว่าวันใหม่ของปีใหม่เริ่มแล้ว เสียงดนตรีบรรเลงวันขึ้นปีใหม่

แต่ในความรู้สึกของพระปานเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รู้สึกแต่เพียงวันคืนล่วงผ่านไปอีกวันหนึ่ง เหมือนกับทุกวันที่ผ่านเลยไป

ชีวิตล่วงไปสู่ความตายอีกวันหนึ่งคืนหนึ่ง

 

เมื่อความสงบเริ่มคืบคลานเข้ามาอีกครั้งระหว่างนั้น พระปานเริ่มหายใจแรงเข้าออก ร่างกายเคลื่อนไหวเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยกมือลูบหน้า หายใจแรงๆ ลึกๆ อีกสองสามครั้ง เทียนยังไม่หมดเล่ม จึงปล่อยไว้อย่างนั้น

ล้มตัวลงนอน รอเวลาพรุ่งนี้เช้าต้องรีบตื่นไปบิณฑบาตที่ธนาคารออมสิน…

เสียงนกกาดังเจี๊ยบจ๊าบร้องเรียกกันเตรียมออกหากินดังแว่วผ่านกุฏิเข้ามา อากาศเช้ามืดชื่นเย็น พระปานลืมตาตื่นขึ้นมองผ่านมุ้งออกไปนอกหน้าต่าง บรรยากาศยังมืดครึ้ม เปิดไฟฉายดูเวลา 05.30 น. จึงลุกขึ้นปฏิบัติภารกิจยามเช้า เสียงเณรพจน์เดินมาเรียกตามห้อง ขณะพระปานห่มจีวรเสร็จพร้อมออกบิณฑบาต

ก่อนออกบิณฑบาต พระปานสวดมนต์รำลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อธิษฐานว่าจะรับบิณฑบาตด้วยความเคารพเพื่อตั้งอยู่แห่งกายนี้ เพื่อยังกายนี้ให้เป็นไป เพื่อดับความยากลำบากคืออยากอาหาร เพื่ออนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์ มิใช่เพื่อเล่น มิใช่เพื่อให้ผ่องใส มิใช่เพื่อเติมความพร่องให้เต็มเช่นทุกเช้า

เสียงเณรพจน์กลับมาบอกรถวากอน 2 คันจอดหน้าวัด พระปานเดินไปตามนั้นกับพระสุชัยและเด็กหิ้วถังพลาสติกคนละใบ ที่รถมีพระเณรนั่งรออยู่แล้ว

เมื่อพระเณรครบ รถจึงเคลื่อนออกไปธนาคารออมสิน