ต่างประเทศ : ชัยชนะของ “มาดูโร” กับอนาคตของเวเนซุเอลา

นิโกลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา วัย 55 ปี ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ครองตำแหน่งผู้นำประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่กำลังตกอยู่ในวิกฤตทางเศรษฐกิจในเวลานี้ต่อไปอีก 6 ปี

แม้มาดูโรจะประกาศชัยชนะการเลือกตั้งที่มีต่อ “ลัทธิจักรวรรดินิยม” ทว่าคู่แข่งทางการเมืองปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐที่ประณามผลการเลือกตั้งอย่างรุนแรง

มาดูโรได้รับคะแนนในสัดส่วน 68 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าคู่แข่งอย่าง “เฮนรี ฟอลคอน” ถึง 3 เท่า แต่จำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น “ต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ที่ 46 เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2013 ที่สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์

ในขณะที่พรรคพันธมิตรฝ่ายค้าน “เอ็มยูดี” คว่ำบาตรการเลือกตั้งดังกล่าวไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากความไม่พอใจต่อการใช้อำนาจของรัฐในการสร้างความได้เปรียบ และความไม่ชอบมาพากลของการเลือกตั้งครั้งนี้

ประธานาธิบดีมาดูโร แม้จะยังไม่ประกาศนโยบายที่ชัดเจน แต่ให้คำมั่นว่าจะดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำ สถานการณ์ซึ่งส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ ขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรค และสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นอย่างรุนแรงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

 

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศคว่ำบาตรรัฐบาลเวเนซุเอลา ด้วยการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ประกาศคว่ำบาตรทางการเงินรัฐบาลเวเนซุเอลาในทันที ปิดทางไม่ให้รัฐบาลเวเนซุเอลาสามารถกู้เงินจากแหล่งเงินในต่างประเทศได้

ขณะที่นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุด้วยถ้อยคำอันรุนแรงว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลาเป็นผลเลือกตั้งอัน “น่าอัปยศ” และเป็นการเลือกตั้งที่ไร้ซึ่ง “เสรีภาพและความเป็นธรรม”

ด้านแถลงการณ์จากทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการะบุด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกร้องให้รัฐบาลเวเนซุเอลา “คืนประชาธิปไตย” จัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม ปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไขในทันที และยุติการปราบปรามและการทอดทิ้งเศรษฐกิจของประชาชนชาวเวเนซุเอลา

 

อนาคตภายใต้การนำของประธานาธิบดีมาดูโรในสมัยที่สองถูกมองว่าตกอยู่ในความเสี่ยงสูงสุด โดย “ลูอิส วิเซนเต ลีอง” นักวิเคราะห์ทางการเมืองระบุว่า สำหรับมาดูโรแล้วความเสี่ยงนั้นอาจเกิดจากภายใน ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกดดันจนจนมุม ผลจากมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ

ขณะที่ฟิล กันสัน นักวิเคราะห์อาวุโสจาก “กลุ่มวิกฤตการณ์นานาชาติ” ระบุว่าเวลานี้ประธานาธิบดีเวเนซุเอลาอาจได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ทว่าหากวิกฤตการณ์รุนแรงขึ้นอาจส่งผลให้เกิดการแบ่งฝ่ายภายในกลุ่มพันธมิตรพลเรือนและทหาร รวมถึงอาจเกิดความแตกแยกทางสังคมในระดับที่กว้างขวางออกไปมากขึ้น

ด้านไมเคิล เพนโฟลด์ นักวิเคราะห์การเมืองชาวเวเนซุเอลา ระบุว่าจำนวนผู้ที่ไม่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากนั้นเป็นหลักฐานสำคัญของการล่มสลายของ “ระบบชาเวซ” ที่แสดงให้เห็นผ่านความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อมาดูโร

สิ่งที่แน่นอนที่สุดนับจากนี้ รัฐบาลเวเนซุเอลาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากมาตรการคว่ำบาตรของชาติต่างๆ

ซึ่งนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาแล้วยังมีอีก 14 ชาติจาก “กลุ่มลิมา” กลุ่มประเทศทวีปอเมริกาที่รวมไปถึงอาร์เจนตินา บราซิล และแคนาดา ก็ประกาศไม่ยอมรับการเลือกตั้งในครั้งนี้เช่นกัน

ยิ่งกว่านั้นยังแสดงออกอย่างแข็งกร้าวด้วยการดำเนินการตัดสัมพันธ์ทางการทูตด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตประจำเวเนซุเอลากลับประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มประเทศสมาชิก “จี 20” ก็ประกาศระหว่างเข้าร่วมประชุมที่กรุงบัวโนสไอเรสด้วยว่าอยู่ระหว่างพิจารณาการคว่ำบาตรเวเนซุเอลาเช่นกัน

 

นอกจากความเสี่ยงทางการเมืองภายในและภายนอกแล้ว ที่น่าห่วงที่สุดคือ ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่สภาวะ “สิ้นหวัง” และนับได้ว่า “เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์”

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ประมาณการว่าจีดีพีของเวเนซุเอลาจะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ พร้อมด้วยอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงถึง 13,800 เปอร์เซ็นต์ นับว่าสูงที่สุดในโลก ขณะที่การขาดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจะส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันจะลดลงต่ำสุดเท่าที่เคยมีมาในรอบ 30 ปี

บริษัทวิจัย “แคปปิตอล อีโคโนมิกส์” ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ประเมินเอาไว้ชัดเจนว่า “หนทางการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตด้านมนุษยธรรมในเวเนซุเอลาจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้” แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้แน่นอนก็คือ “การผิดนัดชำระหนี้” ก้อนมหึมา

ด้านยูเรเซียกรุ๊ป ระบุว่าเวเนซุเอลาที่กำลังตกอยู่ในสภาวะถูกโดดเดี่ยว พร้อมๆ ไปกับผลผลิตน้ำมันที่ลดต่ำลง อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง ส่งผลให้สถานการณ์ “การขาดแคลน” เลวร้ายลง สังคมเกิดความเปราะบาง กัดกร่อนความสามารถของมาดูโรในการคุ้มครองผลประโยชน์ของหุ้นส่วนทางการเมือง และนั่นจะทำให้มาดูโร

“ไม่สามารถอยู่รอดได้พ้นไปถึงปีหน้านี้”