ทวีปที่สาบสูญ ที่ยับเยินอยู่ในแสงจันทร์

บ้านยายร่อยยังคงเหมือนเดิม หันหน้าออกหาทิศเหนือ มีบันไดขึ้นสามสี่ขั้น ที่ตรงนั้น…บริเวณใกล้หัวข่ม ยังเหมือนจะเห็นภาพรอยนั่งเล่นอยู่…ใบหน้าหรุบต่ำ ขนตายาว จมูกโด่งชัดเป็นสัน

ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ อ้ายหมา

ปิมปาเหลียวหน้ามา ในความสลัวราง ข้างตีนบันได

“ขอบคุณมากนะคะ ที่มาส่ง”

เด็กผมขอดพูดเพราะขึ้นผิดหูผิดตา…หรือว่า อันที่จริงพูดอยู่อย่างนี้เสมอมา ทว่าฉันเพียงไม่ได้ใส่ใจ

มืออุ่นเลื่อนมาจับข้อแขนอีกครั้ง

“พี่เดินกลับได้หรือเปล่า จะกลัวมั้ย”

“หือ?”

อดก้มดูหน้าไม่ได้

“ถามพี่?”

“ค่ะ”

“ทำไม? ถ้าพี่กลัวล่ะ แล้วจะยังไง?”

“ปิมจะได้เดินกลับไปส่งพี่”

“อ้าว” ฉันมองหน้าญาติผู้น้อง “แล้วใครจะมาส่งปิมอีก”

“ก็พี่ไงคะ”

แล้วเด็กผมขอดก็เอนตัวเข้ามาจนเกือบชิด

“หรือไม่ พี่มานอนกับปิม กับยาย”

ดูเหมือนยายร่อยจะได้ยินเสียงพูดคุยกันพอดี จึงเดินกุกกักออกมา และแม้บ้านจะติดไฟฟ้าอย่างคนอื่น ก็ยังจุดเพียงตะเกียงน้ำมันก๊าดอยู่วอมแวม

“มาแล้วรึ อีปิม”

“ค่ะ ยาย” ปิมปาร้องตอบไป

ร่างผอมแกร็นเดินออกมาถึงหัวข่ม แล้วเพ่งตาจ้องอยู่

“แล้วนั่นใคร อ้อ อีพี่ มึงมีอะไร”

“พี่เขามาส่งปิม” ปิมปารีบร้องบอก

“อ้อ” ยายร่อยพยักหน้า “กินข้าวกินปลาบ้างหรือยังล่ะ งั้นก็ขึ้นมาๆ”

“กินแล้วยาย” ฉันร้องบอกไป “แม่ให้เอาของกินมาให้ยายด้วย”

“เออ ยินดีนักๆ…มา ขึ้นมาบนเรือนก่อน”

“ไม่ขึ้นแล้ว ดึกแล้ว จะกลับละ”

“เดี๋ยว!” ยายร่อยกลับเรียกอย่างจริงจัง “ขึ้นมาบนนี้ก่อน สักกำเดียวบ่ดาย สะลีที่นอนบ่หนีมึงไปไหนหรอก”

 

จําต้องขึ้นเรือนอย่างเสียไม่ได้ และสัมผัสแรก บนบ้านยายร่อยเต็มไปด้วยกลิ่น…มันเป็นกลิ่นของคนเฒ่า กลิ่นอับสาบเหม็น กลิ่นไม้กระดานเก่าๆ และกลิ่นข้าวของเครื่องใช้ที่ผ่านเวลามายาวนาน

ฉันไม่ได้ขึ้นเรือนยายร่อยมานานแสนนาน ในสมัยก่อนก็ใช่ว่าจะขึ้นมาบ่อย มีเพียงกลางลานข่วงเท่านั้นที่ใช้เล่นกันกับหมู่เพื่อนหมู่ญาติ จึงให้ความรู้สึกก้ำกึ่ง ระหว่างความคุ้นเคยกับแปลกหน้า

ยายร่อยวางตะเกียงลง ฉันขึ้นไปแล้วก็ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร สุดท้ายนั่งลงบนพื้นกระดาน ปิมปารีบตามมานั่งใกล้ๆ

ยายร่อยหายเข้าไปด้านใน ไม่นานก็กลับออกมา

“มา ยายจะมัดมือให้”

ผิดความคาดหมายยิ่งนัก

“ยื่นมือมาถี นี่ด้ายเก่าครูบา ยายเก็บเอาไว้ มา! ถึงบ่ได้ว่าเก่งอย่างพ่อมึง กูก็มีพรจากใจจะให้มึง”

ปิมปายิ้มเรื่อ ดูสีหน้าสีตามีความสุขปลาบปลื้มใจ ฉันไม่มีทางอื่น นอกจากจะยื่นแขนให้ ยายร่อยยกมือขึ้นนบเหนือเกล้า ก่อนจะกล่าวคำคาถาฟังไม่รู้เรื่องสักคำ แล้วลงมือผูกด้ายให้ที่ข้อมือ

“ขอให้ปันใหญ่ปันสูง ผีตายโหงตายห่าอย่าได้มาใกล้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ไปทางใดมีคนค้ำคนจุน…อยู่ดีมีสุขเน้ออีพี่เหย…”

จบด้วยการดึงหัวฉันเข้าไป เป่ากระหม่อมให้อีก

มีความอุ่นวาบเกิดขึ้น

“อายุมั่นขวัญยืนนะลูกนะ…เออ แล้วถ้าได้ปะกับอ้ายรอยมัน บอกให้มันกลับมาบ้านบ้างเน้อ”

เด็กผมขอดจ้องแน่วแน่ ตาเปล่งปลั่งสุกใส มองในระยะใกล้ ผิวเนื้อเหี่ยวฟ่ามของยายร่อยเองเกือบละม้ายผิวเนื้อยาย

ฉับพลันทันใด กลิ่นอับสาบในบ้านก็จากจางหาย ฉันได้กลิ่นดอกเก็ดถะหวาลอยมาอีก

“ไป แล้วละ จะเมือก่เมือเหีย”

ความหมายของยายร่อยคือ เสร็จแล้ว จะกลับก็กลับเสีย

ฉันขยับตัวลุกขึ้น เด็กผมขอดรีบลุกตาม และทำท่าจะแล่นลงเรือนตามมาอีก

ดีที่ยายร่อยร้องทักไว้

“จะไปไหนอีก อีปิม ไหน แกงอะไรในปิ่นโต เอามาเปิดฝาดูที!”

 

ท้องฟ้ายังคงแพรวพรายไปด้วยหมู่ดาว เมื่อเดินออกมาพ้นประตูรั้วไร้บาน หันหลังให้กับลานข่วง เบื้องหน้าคือร้านขายของชำที่ปิดประตูหมดแล้ว บ้านพ่อแม่ของอีหมวย ห่างไปไม่ไกล ต้นงิ้วขาวสองต้นยังยืนเคียง ถัดไปอีกเป็นต้นหมันสูงใหญ่

…คล้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ฉันก็รู้ว่ามันเปลี่ยน

[“อีพี่ ไปทุ่งกันมั้ย กูหลอกพวกอ้ายกล้วยอีหมวยไว้แล้ว”

“หือ หลอกมันทำไม”

เด็กชายยกยิ้มมุมปาก

“จะให้มันไปส้อนปลา อ้ายกล้วยตีนใหญ่ ย่ำขี้เปอะไล่ปลาดีนัก ส่วนอีหมวยมันสลิดดก เอาไปด้วยก็สนุกดี ถ้ามึงไปกับกู ได้ปลาสะเด็ด ปลาสลาด จะแยกให้มึงคนเดียว”

รู้ว่า ปลาสะเด็ดเกล็ดคมแต่จี่อร่อยกว่าปลาขาวนัก และฉันชอบกินปลามากกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ จึงตั้งใจจะใช้หว่านล้อม

“มึงไม่ต้องลงนา ไปดูอย่างเดียว”

“อยากให้กูไปทำไมนักหนา”

“จะให้มึงเป็นคนแบ่งปลา กูไว้ใจมึง”

“ทำไมมึงไม่แบ่งกันเอง”

“อ้ายกล้วยมันหัวหมอ ไม่ไว้ใจกู”

“เฮอะ ก็สมมันว่า”

“เออน่า มึงไปช่วยกูนับปลา ถึงเวลาให้นับข้ามๆ อ้ายกล้วยมันคิดตามไม่ทันหรอก ปลาเป็นก็ให้มึงว่าปลาตาย ได้เท่าไหร่ให้มันไปส่วนเดียวพอ”

ฉันจ้องเข้าไปในตารอย ทำไมจะไม่เข้าใจกลโกงอย่างนั้น เด็กชายยักคิ้วให้

“ก็ได้” ฉันตอบตกลง และตั้งแง่บ้าง “แต่บอกก่อนนะ กูไม่เดินคันนา”

“เออ ขี่หลังกูไป”

นานทีปีหน เด็กชายจะยอมได้ขนาดนั้น

“ก็ได้”

การขี่หลังรอยไปในทุ่งกว้าง เป็นความรู้สึกดีอย่างเหลือเชื่อ…ดีอย่างมากมาย

“โอ้ย! มึงอย่ารัดคอกูแน่นมาก”

“โทษที” ฉันหัวเราะ คลายวงแขนออก

“มึงก็เดินดีๆ สิ เดี๋ยวกูตกนะ”

“พูดแบบนี้เดี๋ยวก็…”

“ลองสิๆ” ฉันรีบดักคอไว้ “ถ้ากูตก จะจองเวรมึงจนตาย”

รอยทำตัวโคลง แต่ก็รู้ว่าแกล้ง เด็กชายไม่เคยทำฉันหล่นสักครั้ง

ถึงชายทุ่ง รอยไต่สะพานไม้ปีกช้าๆ ระมัดระวัง อ้ายกล้วย อีหมวย เด็กคนอื่นๆ อีกสองสามคนยืนยิ้มเผล่ถ้วนหน้า…]

 

นั่นเคยเป็นเวลาแดดอ่อนรอนแสง หน้าฝน เมื่อคนกำลังลงนาไถคราด น้ำในทุ่งเปี่ยมปริ่ม เหม็นโคลนแต่ก็หอมดิน

รอยเคยจัดแจงหาคันนาที่มีหญ้าเตี้ยราบ ไม่ใช่คันปั้นใหม่ ถอดรองเท้าตัวเองออกให้ฉันใช้รองนั่ง…เอาใจอย่างเหลือเกิน

…ตอนนี้ มึงเป็นยังไงบ้างแล้ว หมารอย

ครั้งสุดท้าย ที่ตำรวจพารอยออกไป ฉันแทบไม่ได้มองร่างสูงใหญ่นั้นเลย ความรู้สึกยังคงจดจำเฉพาะกลิ่นสาบของคาวเลือดเนื้อ จากร่างที่ยับเยินในอ้อมแขนฉัน

รอยถูกใส่กุญแจมือ คุกเข่าจนหัวถูกับพื้นซีเมนต์แข็งกระด้าง คืนที่จันทร์กระจ่างกว่าคืนใดๆ…คืนสุดท้ายระหว่างเรา ที่ฉันคงไม่อาจจะเล่าให้ยายร่อยฟังได้

[“อ้ายกล้วย! เอาน้ำคุมาหรือเปล่า”

รอยยืนจังก้าบนคันนา ตะโกนเสียงดัง

“เอามานี่! ให้อีพี่เป็นคนเฝ้าปลา”

อ้ายกล้วยย่ำขี้เปอะขลักๆ เข้ามา ตีนหนา แข้งใหญ่ ยิ้มเห็นฟันหลอ ส่งน้ำคุสังกะสีให้ รอยรับมาตั้งข้างตัวฉัน

“ถ้าได้ปลาเอามาใส่คุนี้ แล้วให้อีพี่เป็นคนนับแบ่ง ให้มันเป็นกรรมการ”

อ้ายกล้วยทำหน้านิ่ว

“ก็นี่เป็นกติกา”

“กูไม่เห็นจะอยากกติกา”

รอยผลักอีกฝ่ายทันที เด็กชายฟันหลอเกือบหงายหลัง

“ถ้าไม่อยากกติกามึงก็กลับไป! บอกลาพ่อแม่มึงด้วย พรุ่งนี้เงาหัวจะไม่มี!”]

คงจะมีเพียงฉันที่ไม่เคยกลัวรอย ขณะที่ใครๆ ก็เข็ดขยาดถ้วนหน้า แต่อันที่จริง ฉันเองควรรู้ว่า มันจะพาเราไปถึงไหน

ควรจะเฉลียวใจเสียตั้งแต่วันนั้น

วันที่ท้องฟ้ากระจ่าง หมู่เมฆขาวผ่องล่องลอย สองเด็กชายตั้งหน้าตั้งตาส้อนปลาวนเทหลายรอบ จนได้เกือบค่อนคุ ซึ่งฉันก็ทำตามที่รอยขอไว้

เมื่ออ้ายกล้วยเทปลา ฉันจะขานบ้างไม่ขานบ้าง แต่หากรอยมา จึงจะร้องบอกจำนวน

“สอง! สาม! สี่!”

จึงฟังเหมือนรอยมาเทปลามากกว่าเสมอ แรกๆ อ้ายกล้วยดูระแวง แต่นานไปเด็กชายก็มัวเมากับความสนุกสนาน ขณะหมวยวิ่งก้นแอ่นตามหลังรอยเรื่อยไป

จนคนไถนาพาควายไปบิ้งอื่นๆ แล้ว รอยถึงย่ำโคลนจ๋อมแจ๋มเข้ามา ปาดแขนเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

“ได้เยอะไหมอีพี่”

“เยอะ”

“ดี เย็นนี้กูจะแกงใส่ยอดส้มป่อยกิน มึงแบ่งใส่ข้องให้อ้ายกล้วยหรือยัง”

“ยัง”

“งั้นก็แบ่งเสีย”

รอยควานมือเข้ามา วักปลาขาวตัวใหญ่ขึ้นดูสองสามตัว

“มึงเอาปลาขาวให้มันสักสองตัว ที่เหลือเอาปลาน้อยให้มันไป”

“ไม่น้อยไปหน่อยเหรอ มันน่ะได้แต่ตัวใหญ่ๆ”

“เออ กติกาต้องเป็นกติกา”]

 

ฉันควรจะรู้ตั้งแต่วันนั้นแล้วว่า กติกาของรอย…กติโกงของเรา มันคือความโง่เขลาในอีกรูปแบบหนึ่ง

เพราะแม้แต่ในวันนั้น เมื่อแบ่งปลากันเสร็จ รอยก็ทิ้งฉัน

เด็กชายออกวิ่งไปข้างหน้า คว้าคุใส่ปลาติดไปกับตัว ปล่อยให้คนอื่นๆ เบิกตา และวิ่งตามหลังอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้

ในสายลมพัดแรงๆ แอ่งโคลนสะท้อนฟ้าทั้งฟ้า ทว่าเหลือฉันนั่งเบื้อใบ้อยู่ในทุ่งนาเพียงลำพัง ฉันควรจะสำเหนียกมานานแล้วว่า กติกาของรอยมันแย่แค่ไหน

แต่บางที…บางที สิ่งที่แย่กว่าอาจคือหัวใจ เพราะแม้ในยามระลึกถึงร่างสูงใหญ่ที่ยับเยินอยู่ในแสงจันทร์ ระลึกถึงทุกสิ่งที่ผ่านมาด้วยกัน ฉันก็ยังคงคิดถึงรอย และไม่กล้าจะบอกยายร่อย ว่าจริงๆ แล้วรอยอยู่ไหน