อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ซานไห่ เก้าคนหลังฉาก ในประวัติศาสตร์ผลัดใบ (18)

การบุกแมนจูเรียของกองทัพญี่ปุ่นในปี 1931 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการภาพยนตร์ของจีน สิ่งที่ปรากฏอยู่บนแผ่นฟิลม์นับจากนี้จะไม่ได้กลายเป็นเพียงสิ่งที่ให้แต่ความบันเทิงอีกต่อไป

หากแต่ภาพยนตร์ได้แฝงแนวคิดหรือบทเรียน หรือตัวอย่างในการสร้างชาติ สร้างความรู้สึกเป็นชาติ โดยวิธีการสร้างตัวแทนที่ประเทศชาติอยากให้เป็นให้ปรากฏลงบนแผ่นฟิลม์

แนวคิดที่ว่านี้มีชื่อเฉพาะว่า เจียนเม่ย-Jianmei ที่หมายถึงความงามของร่างกายอันเกิดจากสุขพลามัยที่ดี

แม้ว่าแนวคิดที่ว่านี้จะมาจากพวกก๊กมินตั๋ง หากแต่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เองก็สนับสนุนแนวคิดนี้ด้วยเช่นกันเพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแรงของชนชั้นแรงงานอันเป็นฐานผู้สนับสนุนใหญ่ของพรรค

การประสานประโยชน์ที่ว่านี้เองทำให้แนวคิดเจียนเม่ยแพร่หลายอย่างรวดเร็ว

การเร่งสร้างความแข็งแรงนี้เป็นผลมาจากการขยายตัวของพื้นที่ในสังคมที่ผู้หญิงจีนมีส่วนร่วมด้วย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 1911

ประเพณีรัดเท้าที่ทำให้ผู้หญิงจำต้องเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างจำกัดจำเขี่ยเต็มทีเริ่มเสื่อมความนิยมไป ผู้หญิงจีนได้เปลี่ยนตนเองจากผู้อยู่เบื้องหลังมาอยู่ตรงกลางและแถวหน้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง นักร้องอาชีพ นักกีฬา สถาปนิก แพทย์ การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เองทำให้ภาพลักษณ์ของความแข็งแรงของผู้คนในชาติโดยเฉพาะผู้หญิงเป็นสิ่งที่ต้องเผยแพร่โดยทั่วไป

ช่วงเวลานั้นเองแม้รัฐบาลก๊กมินตั๋งจะควบคุมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในทศวรรษที่สามศูนย์ ผู้กำกับฯ และผู้สร้างภาพยนตร์หัวก้าวหน้ากลับเป็นผู้ควบคุมเรื่องเล่าบนจอภาพยนตร์โดยเฉพาะเรื่องราวที่แสดงถึงการไม่ยอมจำนนต่อการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น

การร่วมมือระหว่างคนสองกลุ่มนี้ทำให้สตูดิโอเหลียนหัว-Lianhua ซึ่งเป็นสตูดิโอภาพยนตร์ขนาดใหญ่เปลี่ยนรูปแบบของภาพยนตร์จากภาพยนตร์จักรๆ วงศ์ๆ และภาพยนตร์บีบน้ำตาเช่นแม่ผัว ลูกสะใภ้ ให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีนัยทางการเมือง โดยแสวงหานักแสดงที่มีพื้นฐานทางกีฬามานำแสดงในภาพยนตร์ที่ปลุกเร้าจิตใจ

และพวกเขาก็ได้พบกับ หลี ลี่ ลี่ Li-lili

หลี ลี่ ลี่ เกิดที่ปักกิ่งในปี 1915 พ่อของเธอเป็นแพทย์ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของพวกคอมมิวนิสต์อย่างสุดตัว

ส่วนแม่นั้นก็ทำงานในวงการแพทย์เช่นกัน

พ่อของเธอนั้นนอกจากจะเป็นแพทย์แล้ว เขายังเป็นผู้สนใจในภาพยนตร์อย่างยิ่งด้วย เมื่อายุได้สิบเอ็ดขวบ เธอจึงได้เริ่มต้นแสดงภาพยนตร์ที่พ่อของเธอเป็นทั้งผู้กำกับฯ และผู้เขียนบท

ตัวภาพยนตร์นั้นดัดแปลงมาจากตำนานโบราณของจีนที่มุ่งจะสะท้อนปัญหาของสังคมจีนปัจจุบัน

ด้วยการที่เขาเป็นผู้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์นั่นเองที่เมื่อรัฐบาลก๊กมินตั๋งกุมอำนาจในปักกิ่งได้ในปี 1927 พ่อของเธอจึงตัดสินใจพาครอบครัวอพยพไปยังซานไห่

ที่นั่น หลี ลี่ ลี่ ได้ใช้ความรู้จากการฝึกฝนการเล่นงิ้วแบบปักกิ่งมาก่อนเข้าร่วมเป็นช่องทางในการเข้าร่วมกับคณะละครเร่ชื่อดังของซานไห่ การตระเวนแสดงเช่นนี้เพิ่มทักษะในการรับบทตัวละครที่หลากหลายผนวกกับการที่เธอสามารถพูดภาษาปักกิ่งหรือภาษาแมนดารินได้อย่างแคล่วคล่องทำให้เมื่อเธอเข้าสู่วงการภาพยนตร์

สองสิ่งนี้เป็นตัวผลักดันให้เธอก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่สตูดิโอหมิงซิง-Mingxing เปิดฉากภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกชื่อ Sing-song Girl Red Peony ที่นำแสดงโดย หู ตี้-Hu Die ในปี 1931 หลู หมิง หยู ผู้จัดการสตูดิโอเหลียนหัวเกิดความคิดที่จะรวมการแสดงของคณะละครเร่ที่ หลี ลี่ ลี่ สังกัดอยู่เข้าภายใต้การจัดการของสตูดิโอและสร้างภาพยนตร์เพลงขึ้น

หากแต่การรวมตัวที่ว่าเป็นไปได้เพียงปีเดียวก็เกิดการแตกคอกัน คณะละครเร่ทิ้งจากสตูดิโอเหลียนหัวไปหลงเหลือไว้เพียงดารานำสองคนคือ หวัง เยิ่น เหมย-Wang Renmei และ หลี ลี่ ลี่

หลังเหตุการณ์นั้นเอง หลี ลี่ ลี่ ในฐานะนักแสดงหญิงที่เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งทางร่างกายก็เริ่มต้นอาชีพของเธอขึ้น ช่วงเวลา 1932-1937 หลี ลี่ ลี่ แสดงภาพยนตร์ให้กับสตูดิโอเหลียนหัวถึงสิบสามเรื่อง

ภาพลักษณ์จากร่างกายอันแข็งแกร่งของเธอขัดแย้งกับภาพลักษณ์อันอ่อนแอ อ่อนโยน ของนางเอกภาพยนตร์รุ่นก่อนหน้าอย่าง หยวน หลิง อี้-Ruan Lingyu ที่แสดงนำใน Wild Grass and Idle Flowers หรือ Glorious Days

ในภาพยนตร์เหล่านั้น เราจะจดจำได้แต่ใบหน้าอันละมุนละไมหรือการเคลื่อนกายอันเนิบช้าบอบบางของ หยวน หลิง อี้ ว่ากันว่าไม่เฉพาะแต่ในภาพยนตร์เท่านั้น แม้แต่ในชีวิตจริง หยวน หลิง อี้ ก็ไม่ใช่คนแข็งแรงเท่าใดนัก

ดังข่าวลือที่ว่ามีหลายครั้งที่เธอเป็นลมพับไปในระหว่างการแสดง

ภาพลักษณ์ของความอ่อนแอที่ว่านี้มาถึงจุบจบเมื่อ หยวน หลิง อี้ กระทำอัตวินิบาตกรรม และจากโลกนี้ไปในปี 1935

ภาพยนตร์ชื่อ Song of Fisherman และ Big Road ที่ หลี ลี่ ลี่ แสดงนำกลายเป็นภาพยนตร์ต้นแบบของวีรสตรีผู้แข็งแกร่ง ตัวเอกเดินเท้าหรือเคลื่อนไหวด้วยเท้าอันเปล่าเปลือย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าพื้นๆ ไม่พิถีพิถัน

ส่วนในภาพยนตร์เรื่อง Revenge in the Volcano s Shadow หลี ลี่ ลี่ ปรากฏตัวในฐานะนักเต้นรำละครเร่ ท่ามกลางการทะเลาะวิวาทของชายหนุ่มสองคน เธอเดินลงมาจากบันได ถอดรองเท้าแล้วเริ่มต้นร่ายรำ

ภาพของท่อนขาอันทรงพลังของเธอที่ลอยอยู่กลางอากาศคือจุดโฟกัสของภาพยนตร์ตลอดเวลาและทำให้คนลืมตัวละครชายทั้งสองเสียสิ้น

การต้องอวดความสามารถทางร่างกายเช่นนี้ทำให้ หลี ลี่ ลี่ หันเข้าสู่โลกของการกีฬา เธอใช้มันเป็นดังการฝึกตน ทั้งว่ายน้ำ ขี่ม้า วิ่ง ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและกล้ามเนื้อให้กับร่างกายมากขึ้น

นอกจากนี้ เธอยังได้เข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยมที่โรงเรียน Southern Ocean ความสามารถทางการกีฬาที่ว่านี้ทำให้เธอกลายเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย

เธอชนะที่หนึ่งในการวิ่งห้าสิบเมตรของกีฬาโรงเรียน ชัยชนะที่ว่านี้ทำให้สตูดิโอเหลียนหัวไม่รอช้าที่จะสร้างภาพยนตร์กีฬาให้เธอเป็นดารานำ ท่วงท่าการวิ่งอันตื่นตาตื่นใจของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Queen of Sports ในปี 1934 เป็นภาพที่ใครต่อใครจดจำ

โดยเฉพาะในฉากที่เธอสวมใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อแขนสั้นค่อยๆ วิ่งผ่านนักวิ่งคนอื่นไปสู่เส้นชัย

นอกจากภาพของ หลี ลี่ ลี่ ผู้เข้มเเข็งจะขัดแย้งกับภาพของ หยวน หลิง อี้ นางเอกผู้อ่อนแอในยุคก่อนแล้ว

ภาพลักษณ์อันทระนงของเธอยังขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของ แอนนา เมย์ หวัง-Anna May Wong นักแสดงหญิงชาวจีนในฮอลลีวู้ดขณะนั้น

โลกตะวันตกพยายามสร้างให้ชาวจีนเป็นคนป่วยแห่งเอเชียผ่านทางแอนนา โดยเธอต้องรับบทเป็นสาวจีนที่อ่อนแอและรอการช่วยเหลือจากพระเอกตลอดเวลา

การส่งเสริมให้ตัวเอกที่เป็นหญิงแสดงความแข็งแกร่งออกมานั้นไม่เพียงแต่เป็นการปลุกเร้าจิตใจของเพศหญิงในจีนแล้ว มันยังเป็นการตอบโต้ภาพลักษณ์ที่ตะวันตกพยายามครอบงำประเทศจีนอีกด้วย

ตัว หลี ลี่ ลี่ เองได้แสดงความแข็งแกร่งนอกเหนือภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน หลังการบุกซานไห่ของกองทัพญี่ปุ่นในปี 1937 เธออาสาตนเองไปทำหน้าที่นางพยาบาลดูแลทหารที่บาดเจ็บจากการรบ

หลังจากนั้น ยังออกเงินสนับสนุนการทำภาพยนตร์ที่เชิดชูการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์เรื่อง China at War

ไม่นับว่าในปี 1936 เธอตัดสินใจรับบทแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Bloodshed on Wolf Mountain ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ต่อต้านสงครามเรื่องแรกของประเทศจีน

ตัวเรื่องเล่าถึงการรุกรานหมู่บ้านแห่งหนึ่งโดยฝูงหมาป่า โดยหมาป่าในเรื่องเป็นสัญลักษณ์แทนกองทัพญี่ปุ่นและหมู่บ้านนั้นแทนประเทศจีน หลังฝูงหมาป่าล้อมหมู่บ้านจนอับจน หญิงสาวคนหนึ่งกลับลุกขึ้นและกระตุ้นให้ชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กองทัพหมาป่านั้น

โดยบทหญิงสาวผู้เป็นผู้นำนั้นแสดงโดย หลี ลี่ ลี่

การมีส่วนข้องเกี่ยวกับกิจกรรมเหล่านั้นเอง ทำให้ หลี ลี่ ลี่ ถูกจับตาจากกองทัพญี่ปุ่น

ดังนั้น ในปี 1941 เธอและสามีของเธอคือ หลู จิง หยู-Lou Jingyu ที่ทำงานในวงการภาพยนตร์เช่นกันก็ตัดสินใจเดินทางไปประเทศสหรัฐ

ที่นั่นเธอได้เข้าศึกษาต่อด้านภาพยนตร์ ทั้งการแต่งหน้า วิธีการสร้างภาพยนตร์ พวกเขาพำนักอยู่ในอเมริกาเป็นเวลาห้าปีก่อนจะเดินทางกลับมาประเทศจีน

ช่วงเวลานั้นสงครามกลางเมืองกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น รัฐบาลก๊กมินตั๋งขอร้องให้ หลู จิง หยู กำกับภาพยนตร์ต่อต้านคอมมิวนิสต์สองเรื่อง หากแต่เขาปฏิเสธและเป็นเหตุให้ถูกคุมขังในฐานะผู้เป็นภัยต่อชาติ

ในเวลาต่อมา โจว เอิน ไหล ผู้มีเครือข่ายทราบข่าวนี้เข้าและเป็นผู้วิ่งเต้นจนในที่สุด หลู จิง หยู ถูกปล่อยตัว

ทั้งหลูฯ และ หลี ลี่ ลี่ ตัดสินใจเดินทางไปยุโรปเพื่อศึกษาด้านภาพยนตร์เพิ่มเติม

พวกเขากลับสู่ประเทศจีนอีกครั้งในปี 1949 เมื่อจีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเรียบร้อยแล้ว

หลูฯ ได้งานทำเป็นผู้ดูแลรายการโทรทัศน์ประจำสถานีแห่งหนึ่ง

ส่วนหลีฯ เข้ารับตำแหน่งผู้สอนวิชาการแสดงในโรงเรียนภาพยนตร์ที่ปักกิ่ง

ชีวิตของทั้งคู่ดูจะลงตัวหากไม่เกิดสิ่งที่เรียกว่า-การปฏิวัติวัฒนธรรม