จรัญ มะลูลีม : การโจมตีซีเรีย และความเหนือกว่า ของขั้วอิหร่าน-รัสเซีย ตอนที่ 2

จรัญ มะลูลีม

จากการยิงขีปนาวุธโจมตีซีเรีย เท่ากับว่าทรัมป์ได้ใช้การคุกคามของเขาด้วยกำลังอีกครั้ง ด้วยข้ออ้างว่ามีการใช้อาวุธเคมีในประเทศที่ถูกรุมเร้าไปด้วยสงคราม และขยายความสูญเสียให้กว้างขวางออกไปพร้อมๆ กันในสงครามที่มีหลายฝ่ายเข้าร่วม

นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ทรัมป์สั่งให้มีการใช้ขีปนาวุธโจมตีซีเรีย

ปีที่แล้ว (2017) หลังจากมีการใช้อาวุธเคมีในจังหวัดอิดลิบ (Idlib) สหรัฐยิงขีปนาวุธ 59 ลูก ไปที่ฐานทัพของบาชัร อัล อะสัด

ล่าสุดหลังจากสงสัยว่ามีการใช้อาวุธในเมืองดูมา ซึ่งอยู่ติดกับกรุงดามัสกัส และเป็นเมืองที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกำลังอ่อนกำลังลงทุกที อังกฤษและฝรั่งเศสได้มาเข้าร่วมกับสหรัฐเพื่อลงโทษรัฐบาลอะสัดโดยพร้อมเพรียงกัน

คืนวันศุกร์ (13 เมษายน ปี 2018) ตามเวลาในสหรัฐ ขีปนาวุธนับร้อยลูกได้พุ่งเข้าไปยังสถานที่ 3 แห่งของรัฐบาลซีเรียโดยฝ่ายกลาโหมของสหรัฐกล่าวว่าการโจมตีดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มีการนำอาวุธเคมีมาใช้

ด้วยข้ออ้างที่ว่าการใช้อาวุธเคมีต่อต้านประชาชนจะต้องไม่ผ่านไปด้วยการไม่ถูกลงโทษ แบบอย่างที่สหรัฐและพันธมิตรกระทำขึ้นก่อให้เกิดคำถามตามมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สหรัฐได้ชิงเข้าโจมตีก่อนที่องค์การเพื่อการห้ามการใช้อาวุธเคมีจะเริ่มเข้ามาสู่เมืองดูมา เพื่อยืนยันว่าได้มีการใช้อาวุธเคมีจริงๆ เสียอีก

 

ความจริงทรัมป์ควรจะรอจนกว่าองค์การเพื่อการห้ามการใช้อาวุธเคมี ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวังระหว่างประเทศได้ตรวจสอบเสียก่อน แล้วนำเรื่องเข้าคณะมนตรีความมั่นคง พร้อมด้วยหลักฐานที่ค้นพบ

แต่การเข้าถล่มซีเรียด้วยข้อมูลพื้นฐานจากหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐ ฝรั่งเศสหรืออังกฤษ แต่เพียงอย่างเดียวก็เท่ากับว่าสหรัฐและพันธมิตรทำไปเกินกว่ากฎหมายระหว่างประเทศกำหนด

ภารกิจของทรัมป์ที่ทรัมป์เรียกเองว่าประสบความสำเร็จนั้นยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ในเวลานี้ ความจริงการปลุกเร้าให้ถล่มซีเรียเป็นครั้งที่ 2 ในรอบหนึ่งปีนี้ส่วนหนึ่งก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่าการเข้าถล่มครั้งแรกประสบความล้มเหลวที่จะหยุดยั้งรัฐบาลอะสัดที่ยังคงเอาชนะฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่หนุนหลังโดยสหรัฐและพันธมิตรได้อย่างต่อเนื่อง

ในอีกทางหนึ่งเท่ากับว่าทรัมป์ได้ลากสหรัฐเข้าสู่สงครามกลางเมืองลึกเข้าไปอีกและหากว่าในอนาคตมีการใช้อาวุธเคมีอีกไม่ว่าจะใช้โดยอะสัดหรือคู่ปรปักษ์ของเขาสหรัฐก็จะถูกบีบให้มีการถล่มซีเรียขึ้นอีก บางทีอาจจะมีการถล่มซีเรียที่รุนแรงกว่านี้

ด้วยความกังวลว่าทุกๆ ครั้งที่สหรัฐถล่มซีเรียโอกาสของการปะทะกันระหว่างสหรัฐและรัสเซียก็จะสูงขึ้นเพราะรัสเซียอยู่กับอะสัดอย่างมั่นคงมาตลอด

สิ่งที่ซีเรียต้องการมิใช่ระเบิดหรือขีปนาวุธ แต่ต้องการให้สงครามยุติลง ทั้งนี้ ประชาชนในประเทศนี้ได้สูญเสียชีวิตไปแล้ว 400,000 คนภายใน 7 ปี

ไม่เป็นที่สงสัยว่าอะสัดอยู่เหนือกลไกทางทหารในประเทศของตนและใช้กองกำลังของตนเองที่มีอยู่ต่อต้านประชาชนของตนเองที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

แต่ความจริงในซีเรียก็เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน ซึ่งถ้าหากรัฐบาลล้มลงโดยทันทีก็จะผลักใสให้ประเทศและคนอีกนับล้านคนซึ่งมีชีวิตที่มั่นคงอยู่กับรัฐบาลไปสู่ความทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นไปอีก

นั่นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ใครๆ ต้องการ

 

หากพิจารณาจากการเปลี่ยนผ่านในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา น่าจะถึงเวลาแล้วที่ประเทศตะวันตกต้องเปลี่ยนจากการใช้กำลังทหารแต่ฝ่ายเดียวมาสู่การใช้การทูตหลายฝ่าย ซึ่งจะเป็นดังนี้ได้ก็ต่อเมื่อสหรัฐและรัสเซีย ยุติความรุนแรงเพื่อให้มีทางออกทางการเมืองที่ถาวร เพราะนี่เป็นแนวทางเดียวที่จะนำไปสู่สันติภาพในซีเรีย

อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่ตามมาหลังการโจมตีแต่ฝ่ายเดียวของสหรัฐและพันธมิตรครั้งนี้ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น “ภารกิจที่ร่วมกันบรรเลง” เสียมากกว่า มีรายงานว่าประเทศที่ร่วมหัวจมท้ายโจมตีซีเรียอันประกอบด้วยสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ได้ร่วมกันโจมตีแหล่งผลิตสารเคมีที่พวกเขาสงสัยเอาเองว่ามีอยู่และเป้าหมายก็ถูกทำให้ดูดีกว่าที่เป็นจริง โดยหวังว่าจะบ่อนเซาะรัฐบาลของอะสัดที่เชื่อกันว่ามีอาวุธต้องห้าม

ที่น่าสนใจยิ่งกว่าเรื่องอื่นใดก็คือประเทศที่สนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาลอะสัด ทั้งสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศสต่างก็ไม่อาจเอาชนะรัฐบาลนี้ได้แม้จะพยายามสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมาตลอด 7 ปีก็ตาม

เป็นที่น่าสนใจเช่นกันว่าท่ามกลาง ความประหลาดใจที่ทรัมป์กล่าวก่อนโจมตีว่าการถล่มอาจเกิดขึ้นโดยทันทีหรืออาจจะไม่มีการโจมตีเลยก็ได้นั้น เมื่อดูขอบเขตของการโจมตีแล้วปรากฏว่าการสูญเสียชีวิตเกือบจะไม่มีเลย

นายพลของซีเรียยืนยันว่ามีคนเพียง 3 คนเท่านั้นที่บาดเจ็บ แต่ไม่มีใครเสียชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้นทหารรัสเซียในพื้นที่และจรวดป้องกันก็อยู่ในที่เดิม ไม่มีการขยับเขยื้อน ดังนั้น จึงมีการป้องกันในทุกรูปแบบที่จะไม่ให้มีการปะทะกันระหว่างสหรัฐ-รัสเซีย

 

หลังการโจมตีมีรายงานจากกรุงปารีสว่าฝรั่งเศสได้ใช้ช่องทางการสื่อสารเพื่อยืนยันกับรัสเซียว่าการใช้จรวดนั้นมีขอบเขตจำกัด เป็นการโจมตีที่ตั้งโรงงานผลิตอาวุธเคมี และไม่มีแผนการที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในซีเรียแต่อย่างใด

รัสเซียอ้างว่าหน่วยงาน NGO ของอังกฤษ White Helmets ได้สร้างเรื่องการใช้อาวุธเคมีที่เมืองดูมา ในวันที่ 7 มีนาคม ปี 2018 ขึ้นมาและถูกใช้เป็นข้ออ้างในปฏิบัติการร่วมกันของสหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศส

มีความเชื่อกันโดยทั่วไปในหลายแห่งว่าการเข้าไปแทรกแซงในซีเรียเป็นเพียงกุศโลบายของผู้นำทั้งสามชาติที่มุ่งหวังจะเบี่ยงเบนความสนใจจากความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านและความไม่พอใจของประชาชนที่มีอยู่ ทั้งนี้ การรณรงค์ทางโทรทัศน์ให้เห็นปฏิบัติการของสามประเทศจะเปลี่ยนอารมณ์ของคนในชาติไปตามนั้น

โทรทัศน์ของรัสเซียเตือนถึงสงครามโลกครั้งที่สามที่อาจจะเกิดขึ้น และจะหลีกหนีระเบิดได้อย่างไรในกรณีที่สงครามขยายตัว ซึ่งรัสเซียมิได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจน

การโจมตีซีเรียครั้งนี้เป็นการท้าทายกฎหมายและอนุสัญญาระหว่างประเทศ เนื่องจากการโจมตีดังกล่าวไม่ได้รับการรับรองจากคณะมนตรีความมั่นคง ทั้งนี้ ไม่มีการสืบสวนอิสระและการยืนยันถึงการใช้อาวุธเคมีโดยรัฐบาลซีเรียที่กระทำกับประชาชนของตนเองเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมาแต่อย่างใด

 

เวลานี้หน่วยงานตรวจสอบอาวุธเคมีอยู่ที่ดามัสกัสและติดตามเรื่องนี้อยู่ แต่เชื่อกันว่าคงทำอะไรไม่ได้มากนัก

การโจมตีครั้งนี้ความจริงได้ถูกทำให้ไม่มีความชัดเจน การบอกเล่าถึงสงครามที่มาจากแหล่งข่าวของรัสเซียและจากหน่วยข่าวกรองของตะวันตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

รายงานของซีเรียและรัสเซียยืนยันว่าขีปนาวุธที่เข้าโจมตีเข้าเป้าเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น นอกนั้นถูกสกัดได้หมด

อย่างไรก็ตาม การถล่มที่คาดหมายว่าเป็นที่เก็บอาวุธเคมีด้วยจรวดนับร้อยลูกอาจเปลี่ยนสถานการณ์ในตะวันออกกลางหรือเอเชียตะวันตก ซึ่งเต็มไปด้วยสงครามนองเลือดและทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าครึ่งล้านคนตลอด 7 ปี ได้น้อยมาก

การโจมตีของสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกมีข้ออ้างประกอบการปฏิบัติการในครั้งนี้ว่าเป็นการปกป้องมิให้ผู้นำซีเรียใช้อาวุธเคมีต่อต้านประชาชนของตนเอง ซึ่งมีความสงสัยกันว่าผู้คน 40 คนได้จบชีวิตลงในเมืองดูมา

แน่ละในอดีตที่ผ่านมายุทธศาสตร์นี้ก็ไม่ทำงานแต่อย่างใด แม้ว่าเมื่อปีที่แล้วทรัมป์ได้ส่งขีปนาวุธ 59 ลูก เข้าถล่มซีเรียหลังจากมีข้ออ้างว่าซีเรียใช้อาวุธเคมีจนมีผู้เสียชีวิตไป 80 คน อาจกล่าวได้ว่าเส้นทางสีแดงที่สร้างขึ้นโดยสหรัฐและพันธมิตรไม่อาจหยุดยั้งรัฐบาลของอะสัดได้

 

ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐดูเหมือนจะไม่มียุทธศาสตร์ที่แท้จริง ที่จะต่อสู้กับสถานการณ์ที่สลับซับซ้อนในซีเรียหรือจะทำให้การต่อสู้ยุติลงได้

บรรดาแกนนำของสหรัฐมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องที่ว่ากองทัพสหรัฐที่มีทหารอยู่ 2,000 คนในซีเรียที่ส่งเข้ามาช่วยในการต่อสู้เพื่อต่อต้านไอเอสจะคงอยู่ในประเทศนั้นต่อไปหรือจะถอนตัวออกไปดี

ภาพการต่อสู้ในซีเรียยิ่งสลับซับซ้อนหนักเข้าไปอีกเมื่อนักต่อสู้ของรัสเซียเข้ามาประเทศนี้

กองกำลังของอิหร่านและปูตินต่างก็สนับสนุนซีเรียอย่างไม่มีเงื่อนไข การต่อสู้นี้เป็นหนึ่งในวิกฤตมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดและเป็นขบวนการผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในทศวรรษปัจจุบัน โดยประเทศตุรกีและเลบานอนรับเอาผู้ลี้ภัยไปดูแลมากกว่าล้านคน

ในเวลาเดียวกับสหรัฐ ซึ่งพูดเสมอว่ากำลังให้การช่วยเหลือพลเรือนชาวซีเรีย แต่ในปีนี้สหรัฐกลับรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเอาไว้เพียง 15 คน จากที่เคยรับเอาไว้ 790 คนในเวลาเดียวกันเมื่อปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ข้อตกลงร่วมกันของสหรัฐและรัสเซียในปี 2013 ที่จะทำลายอาวุธเคมีของซีเรีย ที่เคยตกลงกันเอาไว้ก็ไม่ก้าวหน้าแต่ประการใด

อาจกล่าวได้ถึงเวลานี้ว่าสงครามในซีเรียเป็นสงครามของบรรดาผู้ที่ต้องการให้อะสัดอยู่ในอำนาจและผู้ที่ไม่ต้องการให้เขาอยู่ในอำนาจ

ดูเหมือนการสนับสนุนจากอิหร่านและรัสเซียจะเป็นผู้ชนะ ส่วนอินเดียซึ่งเวลานี้กำลังคบหากับสหรัฐและเป็นประเทศที่มีความเป็นหุ้นส่วนกับรัสเซียมานานอยู่ในความกระอักกระอ่วนใจ

หลายประเทศสนับสนุนให้มีการสานเสวนาและตกลงกันเพื่อหยุดยั้งความทุกข์ทรมานของชาวซีเรียซึ่งจะกระทำได้โดยผ่านเวทีการเจรจาเท่านั้น แต่ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของซีเรียโดยการใช้กำลังของสหรัฐและพันธมิตรที่ชาวตะวันตกกำลังขับเคลื่อนอยู่นั้นมิได้เป็นทางออกของปัญหาแต่อย่างใด