สุรชาติ บำรุงสุข : จากสนามรบ สู่สนามเจรจา! ฤดูใบไม้ผลิบนคาบสมุทรเกาหลี

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

“ในขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นชาวเกาหลีเหนือและใต้เป็นคนชาติเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถแบ่งแยกจากกันได้ เราเป็นประชาชนร่วมชาติ… เราจึงไม่ควรเผชิญหน้ากัน เราเป็นคนชาติเดียวกัน และควรจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าพเจ้าหวังว่าพวกเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติในอนาคตเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”

ประธานาธิบดีคิม จอง อึน (27 เมษายน 2561)

บทความนี้ขอเริ่มต้นด้วยวาทะของประธานาธิบดีคิม จอง อึน ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีทั้งสอง

ซึ่งหากย้อนกลับสู่อดีตสักนิดแล้ว

ก็แทบอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เห็นทัศนคติเช่นนี้

สงครามไม่ยุติที่เกาหลี

เราคงจะต้องยอมรับว่า การพบระหว่างผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา พร้อมทั้งมีความพยายามในการส่งสัญญาณบวกผ่านถ้อยแถลงต่างๆ จึงเป็นทั้งช่วงเวลาที่สำคัญของประวัติศาสตร์เอเชียและประวัติศาสตร์โลก

เพราะหลังจากสงครามเกาหลีเกิดขึ้นในปี 2493 และจบลงด้วยการเจร0าหยุดยิง (armistice) ที่หมู่บ้านปันมุนจอมในปี 2496 แล้ว เราจะเห็นได้ชัดว่า สงครามเกาหลีไม่ได้ยุติลงจริงๆ แต่อย่างใด

เพราะมีแต่เพียงความตกลงหยุดยิง ไม่ใช่ยุติสงคราม

ความตึงเครียดเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีครั้งแล้วครั้งเล่า และความตึงเครียดเช่นนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นอันเป็นผลจากความพยายามในการทดลองและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ จนเห็นได้ชัดเจนว่าปี 2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากช่วงกลางปีเป็นต้นมา ความกังวลถึงสถานการณ์สงครามนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีปรากฏชัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

และความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกลายเป็นแนวโน้มสำคัญของการเมืองโลกในขณะนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สำคัญที่มักจะไม่ค่อยถูกนึกถึงก็คือ การยุติสงครามเกาหลีมีแต่เพียงความตกลงหยุดยิง และไม่มีสนธิสัญญาสันติภาพที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของภาวะสงครามรองรับไว้แต่อย่างใด สงครามเกาหลีจึงกลายเป็นสงครามที่ยังไม่จบในทางกฎหมายระหว่างประเทศ

และในทางการเมืองก็เป็นจริงเช่นนั้นด้วย

เพราะการแบ่งประเทศทางการเมืองด้วยเส้นขนานที่ 38 และความตึงเครียดที่ดำรงอยู่

ทำให้มองไม่เห็นโอกาสในการทำความตกลงในการยุติสงครามได้แต่อย่างใด

การทูต การกีฬา และเสียงเพลง

แนวโน้มของสงครามนิวเคลียร์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวในช่วงต้นปี 2561

และตามมาด้วยสัญญาณเชิงบวกในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทีมกีฬาผสมของเกาหลีสองฝ่าย

การมาของทีมนักร้องหญิงจากเกาหลีเหนือ (The Moranbong band)

และการปรากฏตัวของคิม โย จอง (Kim Yo-jong) น้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือในฐานะผู้แทนพิเศษ ที่มาพร้อมกับคำเชิญผู้นำเกาหลีใต้เดินทางเยือนเกาหลีเหนือ

การเปิดเกมการเมืองระหว่างประเทศด้วยปัจจัยกีฬาและเสียงเพลงเช่นนี้ทำให้มีข้อสังเกตว่า เกาหลีเหนือกำลังเปิด “การหว่านเสน่ห์เชิงรุก” (charm offensive) การเดิมเกมการเมืองผ่านมิติทางวัฒนธรรมในรูปแบบของกีฬาและดนตรี

สะท้อนให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้สิ่งที่เป็น “อำนาจละมุน” (soft power) ของผู้นำเกาหลีเหนือได้เป็นอย่างดี

และเป็นจังหวะก้าวในการเปิดเกมการทูตอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งช่วยลดภาพลักษณ์ที่น่ากลัวของเกาหลีเหนือลงด้วย

ว่าที่จริงแล้ว การใช้กีฬาเป็นเครื่องมือในนโยบายระหว่างประเทศหรือ “การทูตการกีฬา” (sport diplomacy) ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด

เช่น การใช้ “การทูตปิงปอง” (Pingpong Diplomacy) ในการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน

และไทยเองก็เคยใช้ “ปิงปอง” เป็นเครื่องมือในการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนมาแล้วเช่นกัน

แต่ในกรณีของสองเกาหลี เราได้เห็นมากขึ้นในการใช้ “อำนาจละมุน” ในรูปแบบของเสียงเพลงเป็นเครื่องมือในการเดินเกมระหว่างประเทศ จนอาจเรียกได้ว่าเป็น “การทูตเสียงเพลง” (music diplomacy)

ผลจากการเปิดมิติใหม่ทางการทูตเช่นนี้ทำให้หลายๆ ฝ่ายเกรงว่าปฏิบัติการ “หว่านเสน่ห์เชิงรุก” ของเกาหลีเหนือจะเป็นเพียงการสร้างภาพเชิงบวกให้แก่รัฐบาลเปียงยางที่กำลังถูกกดดันอย่างหนักจากปัญหาอาวุธนิวเคลียร์

แต่อาจจะไม่นำไปสู่รูปธรรมใดๆ

หรือไม่… หลายคนเกรงว่าสัญญาณบวกจากกีฬาและดนตรีจะจบลงไปพร้อมกับการสิ้นสุดของกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว

ในที่สุดแล้ว สัญญาณบวกเหล่านี้มีการดำเนินการต่อเนื่องเมื่อคณะนักร้องจากเกาหลีใต้เปิดการแสดงที่กรุงเปียงยางในเดือนเมษายน และใช้เส้นทางการบินตรงจากโซลสู่เปียงยาง อันเป็นเส้นทางการบินที่ไม่เคยเปิดใช้มาก่อน…

เคป๊อป (K-Pop) เป็นฝ่ายบุกบ้าง! ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือและคณะเข้าร่วมชมอย่างน่าสนใจ และได้เข้าร่วมพูดคุยกับคณะนักแสดงดังกล่าวอีกด้วย

ซึ่งแต่เดิมไม่มีความชัดเจนว่าประธานาธิบดีคิม จอง อึน จะเข้าร่วมชมการแสดงของบรรดา “เคป๊อป” หรือไม่

การเข้าชมดนตรีครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบวกของการทูตสองเกาหลี

เสียงเพลงจากสองฝากฝั่งของเส้นขนานดังประสานเข้ากับความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของผู้นำเกาหลีทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด

การแสดงดนตรีจากสองฝ่ายถือได้ว่าเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญก่อนการพบปะระหว่างผู้นำทั้งสองจะเกิดขึ้น

แม้การอนุญาตให้เปิดการแสดงที่เปียงยางอาจจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการ “หว่านเสน่ห์เชิงรุก” ของเกาหลีเหนือ

แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นสัญญาณของการเปิดการติดต่อที่เริ่มขึ้น

การประชุมสุดยอดสองเกาหลี

หากเปรียบเทียบสถานการณ์ปลายปี 2560 แล้วก็แทบไม่น่าเชื่อว่าหลังปีใหม่ 2561 แนวโน้มจะเป็นบวกอย่างที่ไม่มีใครคาดการณ์มาก่อน เพราะแต่เดิมแนวโน้มมีแต่ปัจจัยเชิงลบของความตึงเครียดจากปัญหาด้านการทหาร

จนเกิดความกังวลว่าหลังจากกีฬาโอลิมปิกสิ้นสุดลงแล้ว วิกฤตนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีก็จะหวนกลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีก

จนแทบจะไม่มีนักวิเคราะห์มองเห็นทิศทางใหม่ในความสัมพันธ์ของสองเกาหลีได้เลย

หรือถ้าเห็นก็ไม่มั่นใจว่าทิศทางบวกจะยั่งยืนเพียงใด

อีกทั้งหากมองความสัมพันธ์ผ่านการประชุมสุดยอดผู้นำก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้นำสองฝ่ายเคยพบกันมาแล้วในปี 2543 และปี 2550 และตามมาด้วยครั้งที่สามในปี 2561 ซึ่งในช่วงต้นก็มีความแคลงใจอย่างมากว่า การพบกันครั้งที่สามนี้จะมีผลอย่างเป็นรูปธรรมเพียงใด

เพราะการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นโจทย์ใหญ่

และมองไม่เห็นถึงโอกาสที่เกาหลีเหนือจะยอมยุติโครงการดังกล่าว

หรืออาจมีข้อสังเกตว่า การเปิดเกมทูตเชิงสันติของเปียงยางที่เสนอยุติโครงการนิวเคลียร์เป็นเพียงกลยุทธ์ของ “สันติภาพเชิงรุก” (peace offensive) ที่ถูกใช้เพื่อการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเกาหลีเหนือ

และการทูตเช่นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ “เสน่ห์เชิงรุก” ซึ่งอาจจะไม่มีผลที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ข้อสงสัยเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะไม่มีใครมั่นใจกับนโยบายที่แท้จริงของผู้นำเกาหลีเหนือ

อย่างไรก็ตาม การตกลงใจของสองผู้นำที่จะพบกันที่บ้านสันติภาพของหมู่บ้านปันมุนจอม อันเป็นพื้นที่เขตปลอดทหารของเส้นขนานที่ 38 เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ

เพราะในทางยุทธการแล้ว พื้นที่เช่นนี้เป็น “เขตการสงคราม”

แต่ผลจากการเลือกให้หมู่บ้านปันมุนจอมเป็นเวทีของการพบของผู้นำทั้งสอง วันนี้ปันมุนจอมจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี

อย่างน้อยภาพของรอยยิ้มและการพบกันอย่างอบอุ่นของผู้นำสูงสุดดังปรากฏในสื่อ

ไม่ว่าจะถูกมองด้วยความสงสัยและคลางแคลงใจว่าเป็น “ละครการเมือง” หรือไม่ก็ตาม

แต่คงปฏิเสธถึงแนวโน้มเชิงบวกของสถานการณ์ครั้งนี้ไม่ได้

อย่างน้อยภาพของผู้นำทั้งสองที่เกิดขึ้นบนสื่อต่างๆ ช่วยลดความตึงเครียดของสถานการณ์สงครามบนคาบสมุทรเกาหลีลงได้อย่างมาก

จนอาจจะต้องยอมรับว่า การพบกันครั้งนี้ได้เปลี่ยน “สนามรบ” ให้เป็น “สนามเจรจา” ได้อย่างคาดไม่ถึง

แม้จะมิได้หมายความว่าการเผชิญหน้าได้สิ้นสุดลงทั้งหมดแล้วก็ตาม

หากแต่การพบของผู้นำเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นดัง “หน้าต่างแห่งโอกาส” ที่จะเปิดไปสู่กระบวนการสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี และการยุติโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ทั้งยังเป็นความหวังโดยตรงในการลดการเผชิญหน้าทางทหารบนคาบสมุทรนี้

การพบเช่นนี้ยังจะนำไปสู่การพบระหว่างผู้นำของสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย

สิ่งที่เกิดขึ้นที่ปันมุนจอมครั้งนี้ได้กลายเป็น “โมเมนตัมสันติภาพ” ทั้งของเกาหลีและของเอเชียโดยรวม และยังทำให้เกิดความคาดหวังอีกด้วยว่า

หากการประชุมสุดยอดสหรัฐและเกาหลีเหนือจบลงด้วยทิศทางเดียวกันกับการประชุมสุดยอดผู้นำเกาหลีแล้ว ภูมิทัศน์ทางการเมืองและความมั่นคงของเอเชียจะถึงจุดของการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

และจะเป็นโอกาสโดยตรงของการยุติสงคราม

ความคาดหวัง

อย่างไรก็ตาม การปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือยังคงมีรายละเอียดอีกมากในทางเทคนิค ตลอดรวมถึงเรื่องของการรวมชาติก็ยังคงเป็นเรื่องระยะยาวที่จะต้องติดตามดูในอนาคต แต่ความหวังเฉพาะหน้าที่เห็นได้ชัดจากแถลงการณ์ร่วม ได้แก่

1) การลดความตึงเครียดและการเผชิญหน้าทางทหารบนคาบสมุทรเกาหลีมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น แม้จะมิได้สิ้นสุดลงทั้งหมดก็ตาม

2) การเปิดช่องทางติดต่อระหว่างรัฐบาลทั้งสองมีความชัดเจนอย่างมาก โดยเฉพาะในระดับผู้นำสูงสุด ตลอดรวมถึงการจัดตั้งคณะประสานงานระหว่างสองเกาหลีขึ้น

3) เร่งแก้ปัญหาครอบครัวที่ถูกแบ่งแยกจากสงครามให้มีโอกาสได้พบปะกันมากขึ้น

4) ยุติการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อโจมตีทางการเมืองซึ่งกันและกัน

5) เป็นลู่ทางของการเจรจาเพื่อนำไปสู่การทำสนธิสัญญาสันติภาพในการยุติสงครามเกาหลี

6) เป็นโอกาสที่จะทำให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในอนาคต

และ 7) ในระยะสั้นเป็นจังหวะที่ทำให้ผู้นำเกาหลีใต้เดินทางเยือนเกาหลีเหนือในฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึง

แม้การพบปะกันครั้งนี้จะถูกวิจารณ์อย่างมากว่าไม่มีรูปธรรมในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเท่าที่ควร แต่หากกระบวนการเช่นนี้เดินไปอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็คงจะสามารถสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงให้เกิดมากขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี จนอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง “ภูมิทัศน์ทางยุทธศาสตร์” ของพื้นที่แถบนี้

แม้จะยังมีอุปสรรคทั้งในทางการเมืองและความมั่นคงอยู่อีกพอสมควร

ผลสืบเนื่องด้านดุลกำลัง

ผลสืบเนื่องประการสำคัญในอนาคตที่จะเกิดตามมาก็คือ หากสถานการณ์ความมั่นบนคาบสมุทรเกาหลีลดลงทั้งในระดับของสงครามตามแบบและสงครามนิวเคลียร์แล้ว การจัดสมดุลกำลังของประเทศที่เกี่ยวข้องจะเป็นเช่นไร

ประเด็นสำคัญ ได้แก่ กำลังรบของสหรัฐที่วางกำลังไว้ในพื้นที่แถบนี้จะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไรหรือไม่

และถ้าจะต้องคงกำลังไว้ต่อไปแล้ว จะมีอะไรเป็นข้ออ้างที่ชอบธรรมในเรื่องนี้

ดังจะเห็นได้ว่า สหรัฐมีกำลังพลอยู่ในญี่ปุ่น (รวมในโอกินาวา) ทั้งหมด 47,000 นาย

และประจำการในเกาหลีใต้อีก 28,500 นาย (รวมทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และนาวิกโยธิน) [ตัวเลขจากสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษาทางยุทธศาสตร์, ลอนดอน, 2017]

ในขณะเดียวกันผลจากสถานการณ์ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลียังเห็นได้จากการคงกำลังพลขนาดใหญ่ของกองทัพของทั้งสองฝ่าย กองทัพเกาหลีเหนือมีกำลังพล 1,190,000 นาย ถือเป็นกองทัพที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และเป็นอันดับสองของเอเชียรองจากจีน

ส่วนกองทัพเกาหลีใต้มีกำลัง 630,000 นาย ถือเป็นกองทัพระดับนำของเอเชีย ฉะนั้น หากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ได้จริงแล้ว เกาหลีทั้งสองจะจัดขนาดกำลังของกองทัพที่เหมาะสมอย่างไร

อีกทั้งหากสงครามเกาหลียุติจริง และความตึงเครียดและการเผชิญหน้าทางทหารลดลง พร้อมกับบรรยากาศของสันติภาพที่เพิ่มมากขึ้น ญี่ปุ่นจะคงกำลังไว้ในระดับใด ปัจจุบันกองทัพญี่ปุ่นมีกำลังพล 247,000 นาย และกำลังรบของญี่ปุ่นมีเป้าหมายหลักในการรับมือกับสงครามบนคาบสมุทรเกาหลีโดยตรง และยังไม่นับรวมกองทัพจีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยจำนวน 2,183,000 คน

วันนี้โจทย์ทางยุทธศาสตร์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เท่าๆ กับที่ภูมิทัศน์ของคาบสมุทรเกาหลีก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

ดังคำกล่าวของประธานาธิบดีมุน แจ อิน ของเกาหลีใต้ที่ว่า “ฤดูใบไม้ผลิมาถึงคาบสมุทรเกาหลีแล้ว”…

เราจึงหวังว่าฤดูใบไม้ผลิที่เกาหลีครั้งนี้จะยั่งยืนต่อไปไม่สิ้นสุด!