ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ตรงข้ามกับผู้นำรัฐบาลที่คิดว่าคนบุรีรัมย์สามหมื่นเบียดเสียดในสนามฟุตบอลเพราะตัวเองดัง คนจำนวนมากมองว่าเหตุการณ์นี้คือโชว์ที่คุณเนวิน ชิดชอบ บันดาลให้เกิดขึ้น
อีเวนต์นี้จึงเป็นข่าว แต่ไม่ได้ภาพลักษณ์ตามที่นายกฯ นายพลคิด
มิหนำซ้ำยังเป็นใบเสร็จว่ารัฐบาลนี้มีพฤติกรรมดูดนักการเมืองไปทั่วตามที่เป็นข่าวจริงๆ
ภายใต้ความยิ่งใหญ่ด้านภาพที่คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ขี่บิ๊กไบก์และปราศรัยกลางมวลมหาประชาชน สิ่งที่คนทั่วไปเห็นคือโชว์ชุดนี้เกิดในบ้านคุณเนวินตามที่คุณเนวินกำกับ
ผลก็คืองานสื่อความยิ่งใหญ่ของคุณประยุทธ์น้อยกว่าคุณเนวิน
นายกฯ ในปฏิบัติการนี้จึงดูเสื่อมเพราะกลายเป็นผู้นำรัฐประหารห้อยโหนเจ้าพ่อบุรีรัมย์
หลังเนวินโชว์ ที่มีคุณประยุทธ์เป็นผู้แสดงผ่านไป คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้เป็นนักการเมืองจากการลากตั้งที่เก่าแก่ที่สุดของยุคก็รีบบอกว่า นายกฯ นายพลไม่ได้ดีลอะไรกับคุณเนวินทั้งนั้น
แต่คำอธิบายนี้เกิดหลังจากสังคมวิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดินดูดคุณเนวินไปแล้ว
คำพูดจึงถูกมองเป็นคำแก้ตัวกว่าข้อเท็จจริง
ไม่เพียงสังคมจะรู้สึกเชิงลบต่อโชว์การเมืองจนเมินคำพูดคุณประวิตรดังที่กล่าวไป ปฏิกิริยาสังคมยังทำให้คุณประยุทธ์หยุดปฏิบัติการดูดคุณเสนาะ เทียนทอง ที่ผู้ช่วยคุณประวิตรประกาศ
ความปั่นป่วนกรณีนี้วุ่นจนภาครัฐไหลว่านายกฯ นายพลไร้แผนไปสระแก้วตั้งแต่แรก จากนั้นก็ยอมรับว่าแผนเคยมีแต่เลิกเพราะสมเด็จฮุน เซน
ข้อเท็จจริงที่ทุกคนรับรู้คือคุณเนวินกับคุณเสนาะเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่อยู่ในการเมืองระดับชาติราวสามสิบปี
สองคนนี้อยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคุณประยุทธ์ในจังหวัดที่แต่ละคนสร้างจนเป็นอาณาจักรใต้ธุรกิจตัวเองและพวกพ้อง
ข่าวดูดจึงส่งผลด้านกลับว่าคุณประยุทธ์แสวงอำนาจจนต้องพึ่งคุณเสนาะกับคุณเนวิน
ด้วยท่าทีของคุณประยุทธ์ต่อนักการเมืองจากคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน สู่คุณเนวิน ทิศทางของยุทธการหนุนทหารเป็นนายกฯ เดินหน้าไปแล้วบนเส้นทางสามแบบ
แบบแรก คือสร้างพรรคพลังดูดที่ลับๆ ล่อๆ ถึงตอนนี้
สอง คือดูดคนจากภูมิใจไทยไปพรรคหนุนทหาร
และสาม คือใช้ภูมิใจไทยเป็นกองหน้าดูดนักการเมืองเก่าโดยตรง
เส้นทางสืบทอดอำนาจของนายกฯ ทหารต้องอาศัยพรรคพลังดูดกับภูมิใจไทยแน่ๆ
แต่ในเงื่อนไขที่วิธีเลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญ คสช. ทำให้ฐานคะแนนเก่าของภูมิใจไทยมีโอกาสเป็น ส.ส. ราว 60 คน ซึ่งสูงกว่าการเลือกตั้งที่แล้วเกือบหนึ่งเท่า ยังไม่มีเหตุผลชัดๆ ที่ทำให้ภูมิใจไทยต้องอยู่ใต้ทหารแบบคนไร้ที่ไป
ด้วยพฤติกรรมดูดตั้งแต่คุณประยุทธ์เร่พบนักการเมืองตามสนามกอล์ฟ รัฐบาลทหารกำลังเปลี่ยนรูปแบบการครอบครองอำนาจจากการใช้กำลังบังคับล้วนๆ เป็นการแสวงหาความร่วมมือมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกว่านั้นคือการขยายขอบเขตของผู้ถือหุ้นส่วนอำนาจจากเครือข่ายธุรกิจระดับชาติและชนชั้นสูงสู่ผู้นำการเมือง
หากนำพฤติกรรมรัฐบาล คสช. เทียบกับรัฐบาลเผด็จการในประเทศอื่น การแสวงหาความร่วมมือจะผลักคุณประยุทธ์ไปสู่ทางเลือกที่เลี่ยงไม่ได้อย่างน้อยสองข้อ
ข้อแรก คือการปรับนโยบายให้ตอบสนองผู้นำการเมืองและพรรคการเมือง
ข้อสอง คือการเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นคุมส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจโดยตรง
ถ้าคุณประยุทธ์เลือกสร้างความร่วมมือกับผู้นำการเมืองโดยเปลี่ยนนโยบายตัวเองให้สนองคนเหล่านี้ ภาพลักษณ์รัฐบาลก็จะกลายเป็นการแก้นโยบายเพื่อเอาใจพวกเดียวกัน แต่ถ้าเลือกวิธีจัดสรรตำแหน่งให้คนเหล่านี้ทำมาหากิน ภาพลักษณ์รัฐบาลก็จะกลายเป็นการจัดสรรผลประโยชน์เพื่อพวกพ้องและบริวาร
จากประสบการณ์ของสังคมที่เคยผ่านระบบเผด็จการ ความเข้มแข็งของผู้นำการเมืองกลุ่มอื่นคือปัจจัยที่มีผลต่อการปรับพฤติกรรมของเผด็จการในขั้นตอนสร้างความร่วมมือที่สุด นโยบายรัฐและการเปิดทางให้ผู้นำการเมืองแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจผ่านตำแหน่งสาธารณะจึงสัมพันธ์กับอำนาจการเมืองโดยตรง
พูดง่ายๆ ระบบเผด็จการมีโอกาสปรับนโยบายหรือจัดสรรผลประโยชน์มากในกรณีที่กลุ่มอื่นเข้มแข็ง และมีแนวโน้มจะปรับนโยบายหรือไกล่เกลี่ยผลประโยชน์และตำแหน่งน้อยลงในกรณีที่ผู้นำกลุ่มอื่นอ่อนแอ
ไม่ว่าฝ่ายผลักดันคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ จะเลือกวิธีไหนระหว่างพรรคพลังดูด, ดูดภูมิใจไทย หรือดันภูมิใจไทยเป็นกองหน้า
สภาพที่นายกฯ นายพลเป็นฝ่ายเร่หาพี่น้องสะสมทรัพย์ถึงคุณเนวินชี้ว่าคนเหล่านี้ต้องการรัฐบาลน้อยกว่ารัฐบาลต้องพึ่งคนเหล่านี้แน่ๆ ยกเว้นคนระดับคุณสกลธี ภัททิยกุล ที่ไปหารองนายกฯ ถึงทำเนียบเอง
ด้วยเงื่อนไขที่นายกฯ ทหารมีเหตุให้ห้อยโหนคนหน้าเก่าดังนี้ การแสวงหาความร่วมมือมีแนวโน้มจะเป็นแบบที่รัฐทหารโอนอ่อนตามฝ่ายการเมืองหน้าเก่ามากที่สุด การปูนบำเหน็จให้คนแบบนี้เป็นรองผู้ว่าฯ หรือที่ปรึกษานายกฯ อย่างที่เกิดไปแล้วจะมีอีกเยอะ
และนั่นเท่ากับภาพลักษณ์รัฐบาลมีโอกาสเป็นขาลงกว่าเดิม
แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศต้องการประชาธิปไตย แต่ถึงแม้ในคนที่สนับสนุนรัฐประหารจนเกิดระบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ สภาพที่ทหารเป็นผู้นำภายใต้นักการเมืองกลุ่มแสวงหาอำนาจน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาที่สุด เพราะไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าการอยู่ในประเทศที่ผู้นำไม่ฟังใครและผู้แทนที่ไม่สนประชาชน
ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจสร้างความร่วมมือกับผู้นำการเมืองที่อยู่นอกเครือข่ายยึดอำนาจออกไป “รัฐบาลแห่งชาติ” กลายเป็นวาทกรรมที่คนในรัฐบาลพูดถึงเหมือนรัฐบาลทหารอื่นๆ ในอดีต ถึงแม้จะไม่เคยมีครั้งไหนที่วาทกรรมนี้จะบังเกิดเป็นระบบการเมืองจริงๆ ยกเว้นแต่จะเกิดการรัฐประหารเท่านั้นเอง
ในช่วงที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ พยายามล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งในปี 2555 วาทกรรม “รัฐบาลแห่งชาติ” ก็คือสิ่งที่ม็อบกลุ่มนี้พูดถึงมากที่สุด และเมื่อ พล.อ.สายหยุดตั้งกลุ่ม “รัฐบุคคล” เรียกร้องให้ทหารหยุดรัฐบาลจากการเลือกตั้งในปี 2557 วาทกรรม “รัฐบาลแห่งชาติ” ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างอีกเช่นเดียวกัน
ถ้า “รัฐบาลแห่งชาติ” คือสิ่งที่ตรงกับความต้องการของประชาชนจริงๆ การล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้งโดยสองพลเอกเกษียณอายุคงประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงคือการขจัดระบบเลือกตั้งต้องอาศัยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ชุมนุมปิดกรุงเทพฯ เกือบครึ่งปีจนทหารเห็นว่ามีข้ออ้างให้ยึดอำนาจได้ครบถ้วนจริงๆ
สําหรับผู้ที่พอรู้การเมืองมาบ้าง “รัฐบาลแห่งชาติ” หมายถึงสภาวะที่ไร้ฝ่ายค้าน, คุมสื่อ, ไม่มีการตรวจสอบ และห้ามเห็นต่างจนรัฐบาลทำอะไรก็ถูกไปหมด “ชาติ” ถูกอ้างเพื่อบอกว่า “รัฐบาล” คือสมบัติของชาติ แต่เป็นไปได้หรือที่รัฐบาลของทุกคนจะเกิดจากทหารและเครือข่ายกับนักการเมืองไม่กี่คน?
พูดตรงๆ สภาพประเทศไทยหลังปี 2557 ที่คนเห็นต่างถูกดำเนินคดี, พรรคการเมืองถูกห้ามทำกิจกรรม, สื่อถูกคุม, สภาเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล, กรรมาธิการไม่ตรวจสอบรัฐมนตรี, สนช. ไม่ซักฟอกนายก ฯลฯ ก็คือแนวทาง “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่ดำรงอยู่มาสี่ปีโดยแทบไม่มีใครรู้สึกว่านี่ระบบการเมืองของเรา
ขณะที่ปฏิบัติการดูดมาพร้อมกับวาทกรรม “รัฐบาลแห่งชาติ” ราวกับการดูดเป็นการทำเพื่อประชาชน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูดจากรัฐบาลถึงนักการเมืองหน้าเก่าๆ กลับไม่เคยพูดเรื่องอุดมการณ์หรือหลักการสักครั้ง และแม้แต่คำพื้นๆ อย่าง “นโยบายสาธารณะ” ก็ไม่มีปรากฏจากปากผู้คนในวงจรนี้แม้แต่หนเดียว
ท่ามกลางสภาพที่ผู้มีอำนาจจัดสรรพกำลังเพื่อดึงประเทศให้เดินตามทิศทางหลังปี 2557 ไม่รู้จบ การก่อตัวของพลังที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดูดคือหนทางเดียวที่จะนำประเทศไปจากเส้นทางนี้ ไม่มีเหตุผลที่คนทุกกลุ่มนอกวงจรอำนาจจะไม่รวมตัวกันในเวลาที่ผู้มีอำนาจทำทุกอย่างเพื่อระดมความสนับสนุนทางการเมือง
สี่ปีแล้วอำนาจรัฐพูดเรื่องความปรองดองบนความจริงที่อำนาจดำรงอยู่บนการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความขัดแย้งของสองพรรคการเมืองสร้างความไม่ลงรอยระหว่างประชาชนจนกองทัพเป็นพลังที่เข้มแข็งที่สุด การหยุดการเผชิญหน้าในสถานการณ์แบบนี้จำเป็น
ไม่อย่างนั้นระบบที่ทำทุกฝ่ายเสียหายก็ไม่มีวันเปลี่ยนไป
จริงอยู่ว่าสองพรรคใหญ่ของไทยมีนโยบายและอุดมการณ์ต่างกัน แต่ไม่จริงที่ความต่างควรเป็นเหตุให้สองพรรคทะเลาะกันไม่สิ้นสุด
ความขัดแย้งระหว่างพรรคมีประโยชน์ในเวลาที่ประเทศเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง
แต่ไม่มีประโยชน์เลยในเวลาที่ทั้งคู่แพ้แน่ๆ ถ้ำปฏิบัติการดูดทุกฝ่ายแช่แข็งประเทศได้จริงๆ
เพื่อไทยไม่ได้อะไรจากการชนะประชาธิปัตย์ในสถานการณ์นี้ เช่นเดียวกับประชาธิปัตย์ไม่ได้อะไร ต่อให้ชนะเพื่อไทยในสถานการณ์เดียวกัน ยกเว้นแต่ความเสี่ยงที่จะอยู่ภายใต้ระบอบทหารระยะยาว
ในการเลือกตั้งมาเลเซียที่เพิ่งผ่านไป พรรครัฐบาลที่มีอำนาจกว่า 60 ปี กลับพ่ายแพ้พรรคฝ่ายค้านทั้งที่เอาเปรียบในการเลือกตั้งทุกอย่าง ความร่วมมือของมหาธีร์และอันวาร์คือพลังที่เปลี่ยนประเทศอย่างไม่มีใครคิด ระบบอำนาจนิยมพังทลายเพราะการรวมพลังของอดีตนายกฯ และคนที่อดีตนายกฯ ทำให้ติดคุก 9 ปี
บทเรียนจากการเลือกตั้งมาเลเซียคือการต่อต้านระบบอำนาจนิยมเป็นเรื่องของยุทธวิธี และบันไดขั้นแรกของเรื่องนี้คือการหยุดความขัดแย้งที่ไร้ประโยชน์เพื่อสร้างพลังปลดปล่อยสังคม